บทบรรณาธิการ - จาก "คดีอากง"จาก ′คดีอากง′
บทบรรณาธิการ
ยิ่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด เสียงกล่าวขวัญในเชิงวิชาการต่อ ′คดีอากง′ ผู้ต้องโทษจำคุก 20 ปีด้วยข้อหาว่าส่งข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากประเด็นหลักฐานในคดี ที่เป็นหัวข้อพูดคุยถกเถียงไม่น้อยไปกว่ากัน
ก็คือสถานภาพของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ขอบเขตของตัวบทกฎหมายหรือการถูกนำมาใช้ในฐานะ′เครื่องมือทางการเมือง′อย่างหนึ่ง
ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อสถาบันที่คนไทยเคารพเทิดทูนและต้องการจะปก ป้องมากเสียยิ่งกว่า
ในจำนวนความเห็นของนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางสังคมจำนวนมากนั้น มีข้อเสนอของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายมาตราดังกล่าวรวมอยู่ด้วย
โดยเหตุผลว่ากฎหมายนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองซึ่งยิ่งทำให้ความขัดแย้งยิ่งบานปลายออกไป
ทั้งที่ตัวกฎหมายเองมีปัญหาและข้อบกพร่องทั้งในด้านของเนื้อหาสาระและกระบวนการในการดำเนินคดี
ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลใดก็ได้สามารถที่จะริเริ่มคดีได้อันนำมาซึ่งการกล่าวโทษกันอย่างง่ายดาย
ขณะที่บทลงโทษของการกระทำความผิดฐานนี้ซึ่งเป็นการแสดงออกประเภทหนึ่ง
ก็ให้จำคุกรุนแรงถึง15ปี
ในด้านของกระบวนการ บุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาจะพบกับความยุ่งยากในการประกันตัว ทั้งชั้นตำรวจและชั้นพิจารณาคดี
′คดีอากง′ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เปรียบเทียบให้เห็นในหลายแง่มุม
อันส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมรู้สึกอึดอัดเพราะผลการวินิจฉัยนั้นขัดแย้งกับสามัญสำนึกแห่งความยุติธรรม
การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จึงไม่ใช่เพียงการป้องกันผู้บริสุทธิ์เท่านั้นหากยังเป็นการปกป้องเสรีภาพในการแสดงความเห็นในสังคมประชาธิปไตย
และเป็นการพิทักษ์สถาบันสูงสุดของชาติไปด้วยในคราวเดียวกันวันที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7679 ข่าวสดรายวัน
จาก ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 1 กล่าวว่า "มนุษยทั้งหลายทั้งหลายเกิดมามีอิสระเสรี เท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิ ทุกคนได้รับการประสิทธิ์ประสาทเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้อง"[1]
บทบรรณาธิการ
ยิ่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด เสียงกล่าวขวัญในเชิงวิชาการต่อ ′คดีอากง′ ผู้ต้องโทษจำคุก 20 ปีด้วยข้อหาว่าส่งข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากประเด็นหลักฐานในคดี ที่เป็นหัวข้อพูดคุยถกเถียงไม่น้อยไปกว่ากัน
ก็คือสถานภาพของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ขอบเขตของตัวบทกฎหมายหรือการถูกนำมาใช้ในฐานะ′เครื่องมือทางการเมือง′อย่างหนึ่ง
ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อสถาบันที่คนไทยเคารพเทิดทูนและต้องการจะปก ป้องมากเสียยิ่งกว่า
ในจำนวนความเห็นของนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางสังคมจำนวนมากนั้น มีข้อเสนอของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายมาตราดังกล่าวรวมอยู่ด้วย
โดยเหตุผลว่ากฎหมายนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองซึ่งยิ่งทำให้ความขัดแย้งยิ่งบานปลายออกไป
ทั้งที่ตัวกฎหมายเองมีปัญหาและข้อบกพร่องทั้งในด้านของเนื้อหาสาระและกระบวนการในการดำเนินคดี
ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลใดก็ได้สามารถที่จะริเริ่มคดีได้อันนำมาซึ่งการกล่าวโทษกันอย่างง่ายดาย
ขณะที่บทลงโทษของการกระทำความผิดฐานนี้ซึ่งเป็นการแสดงออกประเภทหนึ่ง
ก็ให้จำคุกรุนแรงถึง15ปี
ในด้านของกระบวนการ บุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาจะพบกับความยุ่งยากในการประกันตัว ทั้งชั้นตำรวจและชั้นพิจารณาคดี
′คดีอากง′ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เปรียบเทียบให้เห็นในหลายแง่มุม
อันส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมรู้สึกอึดอัดเพราะผลการวินิจฉัยนั้นขัดแย้งกับสามัญสำนึกแห่งความยุติธรรม
การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จึงไม่ใช่เพียงการป้องกันผู้บริสุทธิ์เท่านั้นหากยังเป็นการปกป้องเสรีภาพในการแสดงความเห็นในสังคมประชาธิปไตย
และเป็นการพิทักษ์สถาบันสูงสุดของชาติไปด้วยในคราวเดียวกันวันที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7679 ข่าวสดรายวัน
จาก ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 1 กล่าวว่า "มนุษยทั้งหลายทั้งหลายเกิดมามีอิสระเสรี เท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิ ทุกคนได้รับการประสิทธิ์ประสาทเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้อง"[1]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น