มติชนสุดสัปดาห์ 31สค-6กย 2555บทความพิเศษ อาทร ฟุ้งธรรมสาร แปล เคล็ดลับการครองอำนาจ
อวี๋เหวินไท้ (ค.ศ.507-556)
เป็นบุคคลหนึ่งที่มีส่วนช่วงวางรากฐานของราชวงศ์โจวเหนือ
ตอนที่ท่านดำรงตำแหน่งมหาอุปราชอยู่นั้น ท่านได้เลียนแบบโจโฉในสมัยสามก๊ก
คือ "อ้างพระบรมราชโองการในการสยบเหล่าขุนศึก"
ตอนนั้นเองท่านได้มีโอกาสพบกับซูชั่วที่มีชื่อเสียงเรียงนามด้านสติปัญญาพอๆ
กับขงเบ้ง
จึงได้ไต่ถามถึงวิธีการหรือเคล็ดลับในการบริหารเหล่าขุนนางทั้งหลาย
อวี๋เหวินไท้ : เราอยากทราบวิธีการบริหารเหล่าขุนนาง
ซูชั่ว : ใช้ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ปราบขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
อวี๋เหวินไท้ : ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องใช้ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ซูชั่ว : ท่านอยากให้คนอื่นอุทิศตนเพื่อท่าน
ท่านก็ต้องให้เขาเหล่านั้นได้รับผลประโยชน์
แต่ท่านมิอาจให้เงินทองพวกเขามากมายถึงขนาดนั้นได้
ท่านก็มอบอำนาจให้พวกเขาแทน ให้พวกเขาใช้อำนาจในมือไปรีดไถประชาชาชน
ซึ่งพวกเขาก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล
อวี๋เหวินไท้ : ให้ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงได้รับประโยชน์ จะมีประโยชน์อันใดต่อข้าพเจ้าเล่า
ซูชั่ว : พวกเขาได้รับประโยชน์ ก็ด้วยอานิสงส์ของอำนาจที่ท่านมอบให้พวกเขา
เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของพวกเขาต่อไป
พวกเขาก็จะช่วยรักษาอำนาจการปกครองของท่านเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้น
อำนาจของท่านก็จะไม่หลุดมือไป การบริหารประเทศก็จะมีความมั่นคง
พอได้ยินเช่นนั้น อวี๋เหวินไท้ถึงบางอ้อทันที และถามต่อว่า :
ในเมื่อใช้ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ประโยชน์ถึงปานนั้นแล้ว
เหตุใดต้องไปปราบปรามพวกเขาอีกล่ะ
ซูชั่ว :
ตรงนี่แหละที่เป็นความมหัศจรรย์ของเรื่อง
เพราะปราบปรามขุนนางฉ้อราษฎรบังหลวงนั้น สามารถตบตา หลอกลวงประชาชนได้
ทำเช่นนั้นแล้ว อำนาจการปกครองถึงจะมีความมั่นคง
อวี๋เหวินไท้ : ท่านได้โปรดรีบไขความมหัศจรรย์นั้นเป็นการเพิ่มสติปัญญาให้แก่ข้าพเจ้าเถิด
ซูชั่ว : การปราบปรามเช่นนั้นจะได้ประโยชน์สองประการ
ประการแรก อันว่าขุนนางนั้น ไม่ต้องกลัวเขาจะฉ้อราษฎร์บังหลวง
สิ่งที่น่ากลัวคือเขาไม่ยอมฟังท่าน ท่านใช้วิธีการปราบปราม
ขจัดขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง คงไว้แต่ขุนนางที่ฟังท่าน ทำเช่นนี้แล้ว
ก็จะสามารถขจัดคนที่เป็นปรปักษ์กับท่าน ทำให้อำนาจท่านมีความมั่นคง
อีกทั้งทำให้ประชาชนสนับสนุนท่าน
ประการที่สอง
ขุนนางใดที่มีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวง ขุนนางนั้นก็จะมีชะนัฏติดหลัง
เป็นวัวสันหลังหวะ หากเขาคิดคดจะทรยศท่าน
ท่านก็อ้างเหตุผลนี้กำจัดเขาไปเสีย ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ล้วนกลัวจะถูกกำจัดทั้งนั้น จึงได้แต่สยบ และฟังท่านโดยดี เพราะฉะนั้น
การปราบปรามขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้นเป็นเครื่องมือวิเศษของท่านในการคุม
ขุนนางให้อยู่หมัด
ถ้าท่านไม่ใช้ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ท่านก็จะสูญเสียเครื่องมือวิเศษนี้ไป
เพราะถ้าหากขุนนางทุกท่านเป็นคนมือสะอาด เป็นที่รักใคร่ของประประชาชน
หากเขาเกิดไม่ยอมฟังท่านขึ้นมา ท่านก็ไม่มีข้ออ้างอันใดไปกำจัดเขาได้
หากท่านดึงดันไปกำจัดโดยขาดข้ออ้าง ประชาชนก็จะไม่พอใจ
จะก่อหวอดทำให้บ้านเมืองวุ่นวายได้
สำหรับขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น หนึ่งท่านต้องใช้มัน สองต้องกำจัดมัน เพื่อให้ขุนนางออกมาเป็นสีเดียวกันหมด คือสนับสนุนท่าน
และแล้วอยู่ๆ ซูชั่วก็ถามขึ้นว่า : หากไปใช้ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง
จนประชาชนเกิดความไม่พอใจขึ้นมาท่านจะทำประการใดดี
ท่านทราบไหมว่าวิธีแก้คืออะไร
อวี๋เหวินไท้ตกใจเป็นกำลัง ถามว่า : ท่านมีแผนวิเศษใดกับปัญหาเช่นนี้ล่ะ
ซูชั่วตอบว่า : ชูธงจะปราบปรามขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง
ประกาศก้องให้ประชาชนทั่วหล้าสนับสนุน เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าท่านรักใคร่
ห่วงใยปวงประชา ให้ประชาชนรู้ว่าท่านเป็นคนดี
ที่ไม่ดีนั้นคือพวกขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง
ท่านผลักความรับผิดชอบไปให้แก่ขุนนางฉ้อโกงเหล่านั้นเสีย
ที่สำคัญที่สุดต้องไม่ให้ประชาชนรู้ว่าท่านถือท้ายพวกขุนนางฉ้อราษฎร์บัง
หลวงอยู่เบื้องหลัง ท่านต้องให้ประชาชนรู้สึกว่า ท่านทำดีแล้ว
การที่สังคมมีปัญหามากมายเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะท่าน
แต่เป็นเพราะขุนนางมิได้ปฏิบัติตามนโยบายของท่านต่างหาก
อวี๋เหวินไท้ : หากประชาชนมีความไม่พอใจมากเกินไป ควรจัดการอย่างไรดี
ซูชั่ว : จับและประหารขุนนางผู้นั้นเสีย เป็นการกำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดิน
ริบทรัพย์สมบัติของพวกเขาเป็นตนเอง
เมื่อทำเช่นนี้ก็จะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้รีดไถรังแกประชาชน
แต่กลับจะเป็นเป็นผู้รับประโยชน์จากการขูดรีดเหล่านั้นโดยไม่มีใครทราบ
ตอนท้าย ซูชั่วได้สรุปเป็นสรณะว่า
ใช้ขุนนางฉ้อโกงเสริมอำนาจตัวเอง
ปล่อยปละละเลยเพื่อสร้างพรรคพวก
กำจัดขุนนางฉ้อโกงคือขจัดฝ่ายปฏิปักษ์
ฆ่าขุนนางฉ้อโกงเพื่อเอาใจประชาชน
ริบทรัพย์ขุนนางฉ้อโกงบำรุงท้องพระคลัง
นี่แหละมรรควิถีครองอำนาจชั่วนิรันดร์
*********************************************************************************
มุมมองสีเลือดเดียว
เหตุผลหนึ่งของการปฏิวัติและรัฐประหารในจีน
ในการล้มราชวงศ์ชิงระหว่างการปฏิวัติซินไฮ่
ก็เกิดจากการชิงความเป็นใหญ่ชั่วนิรันดร์
โดยการใช้ยุทธศาสตร์ให้พวกฉ้อราษฎร์บังหลวง ปราบปรามพวกฉ้อราษฎร์บังหลวง
หรือปล่อยปะละเลยให้พวกเหล่านั้นหาประโยชน์ใส่ตนในทางที่มิชอบ
หรือเรียกกว่ายุทธศาสตร์ปลุกผีสู้ปีศาล และยุทธศาสตร์ปล่อยปีศาลดูดเลือด
สุดท้ายเกิดการปฏิวัติชิง และดร.ซุนยัดเซ็น ได้
ลัทธิไตรราษฎร์คือ1หลักประชาชาติ.2หลักประชาสิทธิ.และ 3 หลักประชาชีพ
แต่ยังมีคน/กลุ่มคนที่บิดเบือนระบอบประชาธิปไตย ที่ดร.ซุนยัดเซ็น วางไว้
โดย พยายามใช้ยุทธศาสตร์ครองอำนาจชั่วนิรันดร์
โดยปราศจากความเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง คือไม่เคารพกฏ กติกา
มารยาทและรัฐธรรมนูญของชาติอย่างแท้จริง
ยึดการที่จะอยู่ในอำนาจชั่วนิรันดร์โดยการเอาใจพวกอธรรม
มีการใช้ยุทธศาสตร์ผีดูดเลือดปีศาล และปีศาลดูดเลือดคน
ดังนั้นจึงเกิดการปฏิวัติรอบสองโดย พรรคคอมมิวนิตส์ของเหมาเจ๋อตุง.
ในประเทศไทย เช่น
ปัญหาการทำลายมนุษยชาติทั้งทางตรงและทางอ้อมในทางการเมือง,ปัญหาทุจริต
คอร์รัปชั่น,ปัญหายาเสพติด,ปัญหาการว่างงาน ฯลฯ
เป็นปัญหาที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นประเทศก็ว่าได้ แต่มันจะเพิ่ม
จะลดละเลิกจากสังคมของชาติไปมากน้อยเพียงใด
ต้องขึ้นอยู่กับการไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลยของคน/กลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับการก่อปัญหาเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในประเทศชาติ
หมายความว่าต้องไม่ใช้ยุทธศาสตร์ผีดูดเลือดปีศาลและปีศาลดูดเลือดสังคมชาติ
เพื่อที่จะครองอำนาจชั่วนิรันดร์ หรือได้เป็นรัฐบาลปกครองประเทศชาติ
อย่าเห็นคะแนนเสียงของคน/กลุ่มคนเหล่าอย่างนั้นมีความสำคัญในการสร้างระบอบ
ประชาธิปไตย ถึงแม้คน/กลุ่มคนพวกนั้นจะมีสิทธิ์ในฐานะประชาชนคนไทย
แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การใช้สิทธิ์ก่อปัญหาเหล่านี้ให้ประเทศชาติเสียหาย
จึงจะเป็นการสร้างอำนาจให้รัฐบาลประชาธิปไตยด้วยระบอบประชาธิปไตย
ได้อยู่ในอำนาจระบอบประชาธิปไตยโดยระบอบประชาธิปไตยชั่วนิรันดร์ทุกรัฐบาล
อย่างแท้จริง และปัญหาเหล่านี้ของชาติก็จะลดลงอย่างหน้าใสใจชื่น
ไม่ใช่ลดลงอย่างหน้าใสใจหดหู่ คือลดไม่จริง นั้นเอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น