วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบอบทุจริตคอร์รัปชั่น

มติชนสุดสัปดาห์ 31สค-6กย 2555บทความพิเศษ อาทร ฟุ้งธรรมสาร แปล เคล็ดลับการครองอำนาจ



อวี๋เหวินไท้ (ค.ศ.507-556) เป็นบุคคลหนึ่งที่มีส่วนช่วงวางรากฐานของราชวงศ์โจวเหนือ ตอนที่ท่านดำรงตำแหน่งมหาอุปราชอยู่นั้น ท่านได้เลียนแบบโจโฉในสมัยสามก๊ก คือ "อ้างพระบรมราชโองการในการสยบเหล่าขุนศึก" ตอนนั้นเองท่านได้มีโอกาสพบกับซูชั่วที่มีชื่อเสียงเรียงนามด้านสติปัญญาพอๆ กับขงเบ้ง จึงได้ไต่ถามถึงวิธีการหรือเคล็ดลับในการบริหารเหล่าขุนนางทั้งหลาย

อวี๋เหวินไท้ : เราอยากทราบวิธีการบริหารเหล่าขุนนาง

ซูชั่ว : ใช้ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ปราบขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง

อวี๋เหวินไท้ : ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องใช้ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง

ซูชั่ว : ท่านอยากให้คนอื่นอุทิศตนเพื่อท่าน ท่านก็ต้องให้เขาเหล่านั้นได้รับผลประโยชน์ แต่ท่านมิอาจให้เงินทองพวกเขามากมายถึงขนาดนั้นได้ ท่านก็มอบอำนาจให้พวกเขาแทน ให้พวกเขาใช้อำนาจในมือไปรีดไถประชาชาชน ซึ่งพวกเขาก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล

อวี๋เหวินไท้ : ให้ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงได้รับประโยชน์ จะมีประโยชน์อันใดต่อข้าพเจ้าเล่า

ซูชั่ว : พวกเขาได้รับประโยชน์ ก็ด้วยอานิสงส์ของอำนาจที่ท่านมอบให้พวกเขา เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของพวกเขาต่อไป พวกเขาก็จะช่วยรักษาอำนาจการปกครองของท่านเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อำนาจของท่านก็จะไม่หลุดมือไป การบริหารประเทศก็จะมีความมั่นคง

พอได้ยินเช่นนั้น อวี๋เหวินไท้ถึงบางอ้อทันที และถามต่อว่า : ในเมื่อใช้ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ประโยชน์ถึงปานนั้นแล้ว เหตุใดต้องไปปราบปรามพวกเขาอีกล่ะ

ซูชั่ว : ตรงนี่แหละที่เป็นความมหัศจรรย์ของเรื่อง เพราะปราบปรามขุนนางฉ้อราษฎรบังหลวงนั้น สามารถตบตา หลอกลวงประชาชนได้ ทำเช่นนั้นแล้ว อำนาจการปกครองถึงจะมีความมั่นคง

อวี๋เหวินไท้ : ท่านได้โปรดรีบไขความมหัศจรรย์นั้นเป็นการเพิ่มสติปัญญาให้แก่ข้าพเจ้าเถิด

ซูชั่ว : การปราบปรามเช่นนั้นจะได้ประโยชน์สองประการ

ประการแรก อันว่าขุนนางนั้น ไม่ต้องกลัวเขาจะฉ้อราษฎร์บังหลวง สิ่งที่น่ากลัวคือเขาไม่ยอมฟังท่าน ท่านใช้วิธีการปราบปราม ขจัดขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง คงไว้แต่ขุนนางที่ฟังท่าน ทำเช่นนี้แล้ว ก็จะสามารถขจัดคนที่เป็นปรปักษ์กับท่าน ทำให้อำนาจท่านมีความมั่นคง อีกทั้งทำให้ประชาชนสนับสนุนท่าน

ประการที่สอง ขุนนางใดที่มีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวง ขุนนางนั้นก็จะมีชะนัฏติดหลัง เป็นวัวสันหลังหวะ หากเขาคิดคดจะทรยศท่าน ท่านก็อ้างเหตุผลนี้กำจัดเขาไปเสีย ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ล้วนกลัวจะถูกกำจัดทั้งนั้น จึงได้แต่สยบ และฟังท่านโดยดี เพราะฉะนั้น การปราบปรามขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้นเป็นเครื่องมือวิเศษของท่านในการคุม ขุนนางให้อยู่หมัด

ถ้าท่านไม่ใช้ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ท่านก็จะสูญเสียเครื่องมือวิเศษนี้ไป เพราะถ้าหากขุนนางทุกท่านเป็นคนมือสะอาด เป็นที่รักใคร่ของประประชาชน หากเขาเกิดไม่ยอมฟังท่านขึ้นมา ท่านก็ไม่มีข้ออ้างอันใดไปกำจัดเขาได้ หากท่านดึงดันไปกำจัดโดยขาดข้ออ้าง ประชาชนก็จะไม่พอใจ จะก่อหวอดทำให้บ้านเมืองวุ่นวายได้

สำหรับขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น หนึ่งท่านต้องใช้มัน สองต้องกำจัดมัน เพื่อให้ขุนนางออกมาเป็นสีเดียวกันหมด คือสนับสนุนท่าน

และแล้วอยู่ๆ ซูชั่วก็ถามขึ้นว่า : หากไปใช้ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง จนประชาชนเกิดความไม่พอใจขึ้นมาท่านจะทำประการใดดี ท่านทราบไหมว่าวิธีแก้คืออะไร

อวี๋เหวินไท้ตกใจเป็นกำลัง ถามว่า : ท่านมีแผนวิเศษใดกับปัญหาเช่นนี้ล่ะ

ซูชั่วตอบว่า : ชูธงจะปราบปรามขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ประกาศก้องให้ประชาชนทั่วหล้าสนับสนุน เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าท่านรักใคร่ ห่วงใยปวงประชา ให้ประชาชนรู้ว่าท่านเป็นคนดี ที่ไม่ดีนั้นคือพวกขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ท่านผลักความรับผิดชอบไปให้แก่ขุนนางฉ้อโกงเหล่านั้นเสีย ที่สำคัญที่สุดต้องไม่ให้ประชาชนรู้ว่าท่านถือท้ายพวกขุนนางฉ้อราษฎร์บัง หลวงอยู่เบื้องหลัง ท่านต้องให้ประชาชนรู้สึกว่า ท่านทำดีแล้ว การที่สังคมมีปัญหามากมายเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะท่าน แต่เป็นเพราะขุนนางมิได้ปฏิบัติตามนโยบายของท่านต่างหาก

อวี๋เหวินไท้ : หากประชาชนมีความไม่พอใจมากเกินไป ควรจัดการอย่างไรดี

ซูชั่ว : จับและประหารขุนนางผู้นั้นเสีย เป็นการกำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดิน ริบทรัพย์สมบัติของพวกเขาเป็นตนเอง เมื่อทำเช่นนี้ก็จะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้รีดไถรังแกประชาชน แต่กลับจะเป็นเป็นผู้รับประโยชน์จากการขูดรีดเหล่านั้นโดยไม่มีใครทราบ

ตอนท้าย ซูชั่วได้สรุปเป็นสรณะว่า

ใช้ขุนนางฉ้อโกงเสริมอำนาจตัวเอง

ปล่อยปละละเลยเพื่อสร้างพรรคพวก

กำจัดขุนนางฉ้อโกงคือขจัดฝ่ายปฏิปักษ์

ฆ่าขุนนางฉ้อโกงเพื่อเอาใจประชาชน

ริบทรัพย์ขุนนางฉ้อโกงบำรุงท้องพระคลัง

นี่แหละมรรควิถีครองอำนาจชั่วนิรันดร์
*********************************************************************************
มุมมองสีเลือดเดียว
เหตุผลหนึ่งของการปฏิวัติและรัฐประหารในจีน ในการล้มราชวงศ์ชิงระหว่างการปฏิวัติซินไฮ่ ก็เกิดจากการชิงความเป็นใหญ่ชั่วนิรันดร์ โดยการใช้ยุทธศาสตร์ให้พวกฉ้อราษฎร์บังหลวง ปราบปรามพวกฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือปล่อยปะละเลยให้พวกเหล่านั้นหาประโยชน์ใส่ตนในทางที่มิชอบ หรือเรียกกว่ายุทธศาสตร์ปลุกผีสู้ปีศาล และยุทธศาสตร์ปล่อยปีศาลดูดเลือด สุดท้ายเกิดการปฏิวัติชิง และดร.ซุนยัดเซ็น ได้ ลัทธิไตรราษฎร์คือ1หลักประชาชาติ.2หลักประชาสิทธิ.และ 3 หลักประชาชีพ แต่ยังมีคน/กลุ่มคนที่บิดเบือนระบอบประชาธิปไตย ที่ดร.ซุนยัดเซ็น วางไว้ โดย พยายามใช้ยุทธศาสตร์ครองอำนาจชั่วนิรันดร์ โดยปราศจากความเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง คือไม่เคารพกฏ กติกา มารยาทและรัฐธรรมนูญของชาติอย่างแท้จริง ยึดการที่จะอยู่ในอำนาจชั่วนิรันดร์โดยการเอาใจพวกอธรรม มีการใช้ยุทธศาสตร์ผีดูดเลือดปีศาล และปีศาลดูดเลือดคน ดังนั้นจึงเกิดการปฏิวัติรอบสองโดย พรรคคอมมิวนิตส์ของเหมาเจ๋อตุง.
ในประเทศไทย เช่น ปัญหาการทำลายมนุษยชาติทั้งทางตรงและทางอ้อมในทางการเมือง,ปัญหาทุจริต คอร์รัปชั่น,ปัญหายาเสพติด,ปัญหาการว่างงาน ฯลฯ เป็นปัญหาที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นประเทศก็ว่าได้ แต่มันจะเพิ่ม จะลดละเลิกจากสังคมของชาติไปมากน้อยเพียงใด ต้องขึ้นอยู่กับการไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลยของคน/กลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการก่อปัญหาเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในประเทศชาติ หมายความว่าต้องไม่ใช้ยุทธศาสตร์ผีดูดเลือดปีศาลและปีศาลดูดเลือดสังคมชาติ เพื่อที่จะครองอำนาจชั่วนิรันดร์ หรือได้เป็นรัฐบาลปกครองประเทศชาติ อย่าเห็นคะแนนเสียงของคน/กลุ่มคนเหล่าอย่างนั้นมีความสำคัญในการสร้างระบอบ ประชาธิปไตย ถึงแม้คน/กลุ่มคนพวกนั้นจะมีสิทธิ์ในฐานะประชาชนคนไทย แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่การใช้สิทธิ์ก่อปัญหาเหล่านี้ให้ประเทศชาติเสียหาย จึงจะเป็นการสร้างอำนาจให้รัฐบาลประชาธิปไตยด้วยระบอบประชาธิปไตย ได้อยู่ในอำนาจระบอบประชาธิปไตยโดยระบอบประชาธิปไตยชั่วนิรันดร์ทุกรัฐบาล อย่างแท้จริง และปัญหาเหล่านี้ของชาติก็จะลดลงอย่างหน้าใสใจชื่น ไม่ใช่ลดลงอย่างหน้าใสใจหดหู่ คือลดไม่จริง นั้นเอง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น