วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

จิตเสรีภาพ

เราจะไม่ยินดีอย่างยิ่งต่อฝ่ายที่ใช้อำนาจบารมีใดๆเข่นฆ่าประชาชนทางการเมือง อย่าง 14 ตุลาคม 2516 และ6ตุลาคม 2519 เพราะการกระทำผิดความเป็นมนุษย์ ไร้มนุษย์ธรรม ไม่มีผลการการวิจัยสำนักสากลใดที่บอกว่าเข่นฆ่าและขุดรากถอนโคนประชาชนที่คิดต่างทางการเมืองแล้วทำให้ประเทศชาติมั่นคง แต่ยินดีกับการนำความคิดต่างทางการเมืองมาพัฒนาสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพื่อให้ทุกคนที่เคารพนับถือสิ่งใดของตัวเองอยู่ด้วยกันอย่างบู...รณาการตามระบอบประชาธิปไตย ไม่มีการล้มล้างซึ่งกันและกัน แต่อย่าลืมว่าความคิดที่สนับสนุนแนวคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังหลงเหลืออยู่ในประเทศไทย แต่ก็อย่าลืมว่าความคิดแบบประชาธิปไตยก้าวหน้าก็กำลังบูมอยู่ทุกมุมโลก และเชื่อว่าไม่มีประเทศใดจะต้านทานพลังประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ นอกจากการปรับปรุงพัฒนาการอยู่ร่วมด้วยกันของมนุย์ทุกคนอย่างบูรณาการ และองค์กรที่สำคัญต้องอิสระจากการเมืองการปกครองอย่างแท้เช่น ทหาร ก็ควรจะปกป้องสถาบันในขอบเขต ไม่เข้าไปล้วงล้ำประชาธิปไตย อย่าคิดฆ่าประชาชนทางการเมืองเพื่อสถาบัน ศาสนาพุทธ ศีล5 ข้อ 1 กำหนดชัดเจน และกฏหมายอาญาทุกประเทศกำหนดชัดเจน ไม่มีประเทศแปลกแต่จริงประเทศใด คนจริงคนใด พระที่เคร่งครัดศาสนา หลักคำสอนศาสนาที่แท้จริงของศาสนาใด บอกว่าฆ่าประชนเพื่อสถาบันไม่ปาบ ศาสดาของทุกศาสนามีแต่ผู้เสียสละไม่ได้คำว่าศาสดามาจากมือเปื้นเลือด และสาวกของศาสดาทุกศาสนาก็ไม่มีใครไปบังคับ ขู่เข่นประชาชนให้เคารพนับถือ ฉะนั้น อย่านองเลือดเพื่อชาติ เพื่อสถาบัน หรือเพื่อประชาธิปไตย ด้วยกันเอง แต่ทำเพื่อชาติ เพื่อสถาบัน และประชาธิปไตย ด้วยจิตใจที่เป็นธรรมต่อทุกๆฝ่ายอย่างแท้จริง
.

วีรบุรุษประชาชน จิตรเสรีภาพโดยแท้จริง
วีรบุรุษประชาธิปไตย
ม.112


การกระทำที่ไร้มนุษยธรรม  ไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ คำนึงแต่ศักดินา  มีแต่ความเชื่อแบบปลายปิด ใครคือปีศาจกันแน่...จึงไม่แปลกที่คณะนิติราษฎร์ จะสำรวจประชามติ ยื่นแก้ไขตามกระบวนรัฐสภา และผู้แทนราษฎรจะยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ก็เพื้อแก้ไขและป้องกันประชาชน จากพวกเหล่านี้   การกระทำที่ผิดกฏหมาย และผิดหลักคำสอนศาสนา  ซักวันวิญาญาณวีรบุรุษ ที่นอนอยู่จะหัวเราะเยาะ   

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

จิตเสรีภาพ





ประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงบอกว่าทุกคนต้องยอมรับความเป็นจริง  ตั้งแต่หลังการปฏิวัติ 2475 เปลี่ยนแปลงการปกครอง ผู้ที่มีแนวคิดสนับสนุนการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยังมีและยังฉวยโอกาสใช้ความเชื่อเหล่านนั้น ทำลายประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516 และ 6ต.ค.2519 และก็ต้องยอมรับความจริงความเชื่อและอุดมการณืแบบประชาธิปไตยก้าวหน้า มีการสั่งสมมายาวนาน จนนำไปสู่การปฏิวัติ 2475 และก็มีการพัฒนารูปแบบและวิธีการนำเสนอที่เป็นสากลนิยมและหลากหลายมากขึ้น  จริงๆประเทศไม่ได้แตกแยกอย่างจริงจังเพราะพรรคการเมือง  เพียงแต่ว่าประเทศประชาธิปไตยมีพรรคการเมืองเป็นตัวแทนของประชาชน การแสดงทางความคิดบางครั้งจึงผ่านทางพรรคการเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย จริงๆแล้วประเทศแตกแยกเพราะความเชื่อที่แสดงออกและต่อต้านซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน จนรู้นิสัยซึ่งกันและกันอย่างทั่วไปไปทุกมุมโลกอีกครั้ง โดยเฉพาะแนวอนรุกษ์ที่จะไม่ยอมแก้ไข พัฒนา หรือถอยหลังอีกแล้ว  ทางแนวคิดประชาธิปไตยก้าวหน้า ก็พยายามจะขจัดหรือพัฒนาสิ่งต่างๆที่เป็นปัญหาต่อแนวคิดแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และจะคอยทำลายอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่มีเหตุผล จนนำไปสู่1.การก่อตั้งคณะนิติราษฎร์ แก้ไข ม.112 ของคณะผู้เชี่ยวชาญ 2. การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของผู้แทนฯผ่านกระบวนการรัฐสภา 3.การออกมาแสดงความคิดเห็นสนับสนุนของภาคประชาชนอย่างหลากหลายวิธี  ซึ่งการต่อต้านแนวอนุรักษ์ ก็ใช้ 1 ก่อตั้งผู้สนับสนุนทางวิชาการแนวอนุรักษ์ 2. ยับยั้งกระบวนการทางรัฐสภา 3.เคลื่อนทางภาคประชาชน 4. ใช้แนวทางที่ถนัดและเป็นประเพณีนิยมสื่บมาแต่โบราณ คือ ใส่ความ สร้างความเกลียดชัง ขมขู่ เข่นฆ่าทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยใช้กระบวนการทางราชการและประชาชน เช่นลูกเสือชาวบ้านในอดีต กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มนวพล อย่างใน 14 ต.ค.2516 และ6 ต.ค.2519  5.การออกมานอกกรอบของทหาร โดยการรัฐประหาร  นี้เป็นจุดแตกหักที่สำคัญ ที่ประชาธิปไตยก้าวหน้าไม่อยากให้มีในโลกนี้ก็ว่าได้
ถ้าเราอยู่อย่างตามบริบทของตนเอง คือปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษตริย์ทรงเป็นประมุข แบบไทยๆ ประเทศไทยก็จะอยู่แบบที่มีปัญหาอย่างไทยๆตลอดไปไม่จบสิ้น เพราะเราไปลอกแบบการปกครองของเขามาแต่ย่อๆ ไปลอกแต่สว่นที่จะสร้างความนิมยมทางการเมือง แต่ไม่ลอกสิ่งที่จะสร้างสันติภาพทางการเมืองในประเทศชาติอย่างจริงจัง การอยู่ดี กินดี ไม่พอที่จะสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้นกับประชาชนได้ ต้องสร้างสิทธิเสรีภาพ  สร้างโอกาสทั้งทางสังคมและทางการเมือง ควบคู่กันไปด้วย  ส่วนที่เป็นปัญหาและแตกแยกกันนั้น คือส่วนที่ว่าด้วยสิทธิ์เสรีภาพของประชาชน และส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันประมุขของประเทศ นี้คือต้นเหตุและหัวใจสำคัญของปัญหาในประเทศ   ควรไปขอกล้าพันธ์ อย่าไปตอนกิ่ง หรือทาบกิ่งมาประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข อย่างในเอเชีย คือ ญี่ปุ่น หรือในยุโรบ หลายๆประเทศ เช่น นอรเวย์ เป็นต้น กลับไม่ยอมนำมาแก้ไขปรับปรุงพัฒนา  ให้ประเทศเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง
ในอดีตฝรั่งเศลปฏิวัติ จีนปฏิวัติ สหภาพโซเวียฯลฯ การปกครองเดิมล่มสลาย เพราะไม่พัฒนารักษาสถาบันอย่างแท้จริง ตรงข้ามกับประเทศที่พัฒนาสถาบัน  เช่น  ญี่ปุ่น นอรเวย์ เดนมาร์ก เป็นต้นสถาบันสูงสุดของประเทศอยู่คู่กับประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือจิตใจกำหนดอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ เข่นห่าประชาชนที่คิดต่างอย่างแท้จริง อย่างในอดีต ...นักต่อสู่ทางสังคมและการเมือง "วีรบุรุษ ไม่ใช่คนดีในสายตาฝ่ายตรงข้าม  คนดีไม่ใช่วีรบุรุษ ของพวกเดียวกัน"

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

66/23

                                                                               *****
บื้กจิ๋ว" ร่อนหนังสือโต้ "มาร์ค" ชี้ 66/23 ไขปมสู่ปรองดอง-สามัคคีในชาติ หนุนยกเลิกคดี คตส.วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16:18:59 น.

Share39

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในประเด็นการนิรโทษกรรมจะล้มล้างอำนาจตุลาการ ทำลายระบบยุติธรรมและการยกเลิกผลคดีที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยได้นำจดหมายมาให้เจ้าหน้าที่สภานำมาแจกแก่สื่อมวลชน


สำหรับเนื้อหาการตอบโต้นั้นในหนังสือระบุว่า พล.อ.ชวลิตเห็นว่าการออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรมจะช่วยให้ระบบยุติธรรมของไทยดีขึ้น เพราะจะไม่นำเอาปัญหาการเมืองที่เกิดจากระบอบการรัฐสภาและเผด็จการรัฐประหารมาแก้ไขระบบยุติธรรมของศาล นอกจากจะแก้ไขปัญหาไม่ได้กลับทำให้ปัญหาบานปลายมากขึ้น


พร้อมยืนยันการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ โดยเชื่อว่าการใช้นโยบาย 66/23 สร้างประชาธิปไตยในอดีต จะเป็นทางออกสูงสุดของชาติ โดยนิรโทษกรรมอย่างไม่มีเงื่อนไข ช่วยให้เกิดความปรองดองและความสามัคคีในชาติได้อย่างแท้จริง


ส่วนการยกเลิกคดีที่ดำเนินโดย คตส.นั้น เห็นว่าทุกอย่างจะต้องกลับไปสู่สภาพเดิม เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการเมือง เมื่อ คตส.มีที่มาไม่ถูกต้อง จึงถือว่าผิดตั้งแต่ต้น ดังนั้น เมื่อระบอบทำให้เกิดปัญหา จึงต้องยุติทุกอย่างที่ดำเนินการโดย คตส.


สำหรับนโยบาย 66/23 คือคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ได้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ทหารในการขยายบทบาทในกิจการด้านพลเรือนและการเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมือง


คำสั่งที่ 66/2523 ได้ประกาศใช้เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2523 เพื่อเป็นแนวทางในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ สาระสำคัญของคำสั่งนี้ คือ การใช้หลัก “การเมืองนำการทหาร” ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์


คำสั่งที่ 66/2523 ได้ระบุถึงสาเหตุของการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ว่าเป็นเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ความไม่เท่าเทียมทางการเมือง คือ สภาพการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและประชาชนไม่ได้ใช้อำนาจอธิปไตย แต่อำนาจนี้อยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและสนใจแต่ประโยชน์ส่วนตัว รวมทั้งข้าราชการซึ่งใช้อำนาจหน้าที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนที่ไม่มีทางต่อสู้ ส่วนความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจนั้นเกี่ยวข้องกับการผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยคนจำนวนน้อย การขูดรีดเอารัดเอาเปรียบคนจนโดยคนที่ร่ำรวย ความไม่เท่าเทียมกันในรายได้ การมีโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ อันส่งผลให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นและระหว่างเมืองกับชนบทกว้างมากขึ้นทุกที


นายทหารกลุ่ม 66/2523 ระบุว่า พวกนายทุนที่เอาเปรียบและขูดรีดคนจนเป็นพวกอิทธิพลมืด เป็นผู้ที่แสวงหาความร่ำรวยทางเศรษฐกิจทุกรูปแบบ รวมทั้งกิจการที่ผิดกฎหมายด้วย ความคิดต่อต้านนายทุนไม่ใช่ของใหม่ในกองทัพ นายทหารระดับกลางและชั้นผู้น้อยซึ่งทำงานปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในชนบทได้พบเห็นการเอารัดเอาเปรียบของนายทุนที่มีต่อชาวบ้านรวมทั้งสภาพที่ถูกเอาเปรียบ


ในสายตาของนายทหารกลุ่มที่ 66/2523 การปกครองแบบเผด็จการเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้คอมมิวนิสต์เติบโต ส่งผลกระทบให้คอมมิวนิสต์ขยายตัวได้ง่าย ดังนั้น การแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์ต้องแก้ไขด้วยวิถีทางทางการเมืองเท่านั้น การแก้ไขปัญหาทางการเมืองตามพวกนี้เชื่อว่าประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะเอาชนะคอมมิวนิสต์ได้


อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงวิธีการพัฒนาประชาธิปไตยทางทหารยังไม่มีความแน่ใจว่าวิธีการนั้นควรเป็นอย่างไร ทางทหารระบุว่าประชาธิปไตยเป็นระบบที่ประชาชนสามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้อย่างเต็มที่ อิทธิพลและอำนาจมืดต้องถูกขจัดออกไปในการเมืองทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ นอกจากนั้นจะต้องทำให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาของประชาชนอย่างแท้จริงไม่ใช่เป็นสภาผู้แทนราษฎรของนายทุน รายละเอียดอื่นๆ นอกจากนี้ยังคงเป็นสิ่งที่โต้เถียงกันอยู่ในวงการทหาร


ความสำคัญของคำสั่ง 66/2523 ที่มีต่อการเมืองคือ ทางฝ่ายทหารอ้างว่าเมื่อทหารรับผิดชอบในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ทหารต้องมีส่วนในการพัฒนาประชาธิปไตยเพราะประชาธิปไตยเป็นวิธีการเอาชนะคอมมิวนิสต์ในประเทศที่ประชาธิปไตยมั่นคงแล้ว ทหารมีบทบาทค้ำจุนประชาธิปไตย แต่ประเทศที่อยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อทหารต้องเป็นผู้สร้างประชาธิปไตย


การแทรกแซงทางการเมืองหลายครั้งที่ทหารนำเอาเหตุผลนี้ขึ้นมาอ้าง เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยตามคำสั่งที่ 66/2523 เนื่องจากทหารเห็นว่าสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะครอบงำด้วยนายทุนเป็นส่วนใหญ่ บางทีการคัดเลือกคนจากอาชีพต่างๆ ให้มาดำรงตำแหน่งเป็นวุฒิสมาชิกอาจได้สมาชิกรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า ทหารควรเข้าเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติได้ เพราะการปฏิวัติที่พูดถึงนี้ไม่ใช่เป็นการรัฐประหาร แต่เป็นเรื่องของการปรับปรุงให้ประเทศดีขึ้น ถือว่าเป็นการดำเนินงานตามคำสั่งที่ 66/2523


แม้ว่าเหตุผลข้างต้นได้รับการคัดค้านไม่น้อยจากบรรดานักการเมือง สื่อมวลชน และปัญญาชนทั้งหลายแต่คำสั่งที่ 66/2523 ยังคงใช้อยู่และจะถูกอ้างเพื่อความชอบธรรมในบทบาททางการเมืองของทหารอีกเมื่อใดก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตราชั่งประชาธิปไตย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เงียบหายไปเกือบ 2 ปี  วาสนา นาน่วม  ผู้สื่อข่าวสายทหารของหนังสือพิมพ์ บางกอก โพสต์  เจ้าของหนังสือซี่รี่ส์ชุด “ลับลวงพราง” ได้เตรียมเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่กับสำนักพิมพ์มติชน “ลับลวงพราง ภาค5” ศึกชิงอำนาจ ผ่าแผนสงครามปฏิวัติ”  ซึ่งจะมีการเปิดตัวที่บูธสำนักพิมพ์มติชน โซนพลาซ่า ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติระหว่างวันที่ 29 มี.ค.-8 เม.ย. นี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์

ทั้งนี้หนังสือลับลวงพรางภาค 5 จะแบ่งออกเป็น 4 บท มีความความหนา 495 หน้า พร้อมด้วยการวิเคราะห์ความเป็นมาเป็นไปและเบื้องหลังการเมืองที่เกี่ยวกับกองทัพ มีเนื้อหาโดยย่อดังนี้

บทที่ 1  สงครามเลือกตั้ง สงครามตัวแทน   ที่ชี้ให้เห็นเบื้องหลังว่า ทำไม กองทัพกับพรรคประชาธิปัตย์จึงแพ้การเลือกตั้ง  ทั้งปรากฏการณ์ทหารแตงโม,ไม่กลัวนาย แต่กลัวเมีย และพลาดเพราะ “เนวิน”

บทที่ 2  สงครามกองทัพ  ที่จะเจาะการเมืองภายในของแต่ละเหล่าทัพ และคำตอบจาก ผบ.สส. ผบ.ทบ.ผบ.ทร.และผบ.ทอ. ในประเด็นฮอทต่างๆ  ที่จะทำให้เข้าใจความเป็นไปในกองทัพมากขึ้น ทั้งเรื่องหนักๆและเบาๆ

บทที่ 3 มหาสงครามปฏิวัติ  เปิดเผยแผนการต้านปฏิวัติของ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และนายทหาร ตท.10 โดย ตอนหนึ่งระบุว่า  ตท.10 เป็นรหัสพินาศ  ที่แม้จะเคยเป็นผู้แพ้ แต่ก็กลับมาเป็นผู้ชนะ แต่ก็อาจกลับไปเป็นผู้พ่ายแพ้อีกครั้ง  รวมทั้งเปิดตัวแกนนำตท.10 คนสำคัญที่เป็นขุนพลข้างกาย พ.ต.ท.ทักษิณ

บทที่ 4 สงครามป้องราชบัลลังก์  ที่เน้นบทบาทของ  ผบ.สส.และ ผบ.ทบ. และกองทัพ ในการปกป้องสถาบัน ท่ามกลางการเมืองและกระแสล้มล้างสถาบันอันเชี่ยวกราก

เนื้อหาตอนหนึ่งในหนังสือระบุว่า  พล.อ.พัลลภ  ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี  ซึ่งเคยอยู่ฝั่ง คมช.ไปร่วมวางแผนกัน 7 คนที่บ้าน ปีย์ มาลากุลฯ ย่านสุขุมวิท เพื่อวางแผนปฏิวัติ 19 กย.2549 เปิดเผยว่า มีความพยายามจากกลุ่มเดิม ในการที่จะปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็น คมช.ภาค2

"ก็เป็นพวกกลุ่มเดิม นั่นแหละ ที่ผมเคยไปร่วมประชุมวางแผนปฏิวัติ ตอน คมช.นั่นแหล่ะ พวกนี้เขายังไม่ยอมหยุด จะพยายามล้มรัฐบาลด้วยวิธีการเดิมๆในอดีต แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็ต้องให้ทหารปฏิวัติ"พล.อ.พัลลภ เตือน

"พวกนั้นเขายังอยู่กันครบนะแต่ละคน รอจ้องอยู่ทั้งนั้น อาจจะมี คมช.อีกครั้ง เพราะทีมงานที่เคลื่อนไหววางแผนกันอยู่ก็พวกเดิมๆทั้งนั้น แต่ถ้าจะกล้าปฏิวัติหรือเปล่า ก็ลองดู" พล.อ.พัลลภ กล่าว


ในเล่มนี้ ยังมีการเปิดเผยแผนการต้านปฏิวัติของ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และ ตท.10  อย่างละเอียด  ที่จะมีการใช้กำลัง 3ส่วนคือ  คนเสื้อแดง  ตำรวจ และทหารแตงโม  ในส่วนของคนเสื้อแดงมีการฝึกการต้านปฏิวัติ การต่อสู้กับรถถัง การใช้วินมอเตอร์ไซค์ต้านปฏิวัติ  โดยที่ กอ.รมน.กำลังจับตาหมู่บ้านคนเสื้อแดง ในอิสานและเหนือ ว่ามีการปลูกฝังอุดมการณ์การเมืองและการฝึกใช้อาวุธหรือไม่

ฝ่ายทหารที่เป็นสายเสื้อแดงยังมีการตั้งวอร์รูม เพื่อไว้ต่อต้านการปฏิวัติในจุดต่างๆ   เพื่อไว้ใช้เป็นเซฟท์เฮ้าส์และที่รวมตัวหากมีการปฏิวัติเกิดขึ้น  ทั้งที่ สนามบินดอนเมือง  ทุ่งสีกัน กลาโหม เมืองทองธานี และที่สนามบินสุวรรณภูมิ  รวมทั้งบทบาทของ นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ พล.ท.ฮุนมาเน็ต บุตรชายในการช่วยต้านปฏิวัติ

ในขณะเดียวกัน เนื้อหาในหนังสือยังเปิดเผย วอร์รูมลับ ใน ร.1รอ. ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สร้างใกล้เสร็จแล้ว  โดยถูกจับตามองว่า มีการสร้างห้องประชุมที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการสื่อสาร สามารถเป็นที่ประชุมสั่งการได้ตลอด 24ชม.

นอกจากนี้ยังระบุถึงคำสัมภาษณ์ของ อ.วารินทร์  บัววิรัตน์เลิศ  โหรคมช.แห่งเชียงใหม่ ซึ่งเคยร่วมชี้แนะเรื่องการปฏิวัติ 19กย.2549 ให้ พล.อ.สนธิ บุญยะรัตกลิน  ผบ.ทบ.มาแล้ว


โดยโหรคมช.กล่าวตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. จะเป็นนายทหารกู้ชาติ  เนื่องจาก ในชาติปางก่อน พล.อ.ประยุทธ์ เกิดเป็นหนึ่งในทหารเอก ของ พระองค์ดำ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชฯ ซึ่งสอดคล้องกับ ความเชื่อส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์  เองที่นับถือ สมเด็จพระนเรศวรฯอย่างมาก

"พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นความหวังของคนไทย ในการที่จะนำพาชาติรอด และจะเป็นนายทหารที่กู้ชาติ" อาจารย์ วารินทร์ กล่าว

"อย่าให้พูดชัดๆแบบนั้นเลย แต่ พล.อ.ประยุทธ์  จะได้นำกู้ชาติ และเป็นคนที่รักษาชาติ และรักษาราชบัลลังก์ แน่นอน” อาจารย์ วารินทร์ กล่าว  โดยเลี่ยงที่จะบอกว่า เห็นภาพการปฏิวัติหรือไม่ แต่ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำหน้าที่ในการช่วยเหลือรัฐบาล ช่วยเหลือนายกรัฐมนตรีหญิง ไปก่อน

"แล้วผมจะบอก เมื่อใกล้ถึงวันนั้น" อาจารย์ วารินทร์ระบุ

สำหรับ ลับลวงพราง ภาค 5 นี้ ยังมีการเปิดเผย เบื้องหลังการหลุดเก้าอี้ รมว.กลาโหม ของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ด้วย

ที่สำคัญคือการเปิดเผยแผนการกลับประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีการระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้พยายาม"เคลียร์"ในหลายทิศทาง รวมทั้งกับทางกองทัพ ทั้งด้วยตัวเองและผ่านตัวแทน โดยยืนยันว่า จะไม่แก้แค้นแต่จะปรองดองและอยู่กันแบบให้เกียรติซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้มีการระบุด้วยว่า นายทหาร ตท.10 เพื่อน พ.ต.ท.ทักษิณ  เตรียมแผนการกลับประเทศ ด้วยการให้บินลงที่สนามบินเชียงใหม่ บ้านเกิด  อันถือเป็นการกลับบ้านเกิด  ไม่ลงที่สุวรรณภูมิ ด้วย 2 เหตุผล คือ 1.เพื่อแก้เคล็ด จากการกลับประเทศครั้งก่อนเมื่อปี 2551  มาจูบแผ่นดิน หรือแผ่นซีเมนต์ที่สุวรรณภูมิ  แต่ก็ต้องหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง  จึงจะลงที่เชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นการกลับบ้านเกิดจริง

ข้อ2 เป็นเรื่องความปลอดภัย เนื่องจาก กลัวจะถูกลอบสังหาร  เพราะที่สุวรรณภูมิดูแลยาก แต่ที่สนามบินเชียงใหม่ เป็นพื้นที่เสื้อแดง  จึงมีแผนใช้คนเสื้อแดงที่มารอต้อนรับ เป็นเกราะในการป้องกัน พ.ต.ท.ทักษิณ

ส่วนในเรื่องสงครามป้องราชบัลลังก์ นั้น วาสนาได้เขียนถึงบทบาทของ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์  ปฏิมาประกร  ผบ.สส.กับ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในการเป็น ขุนศึกค้ำราชบัลลังก์ ในฐานะที่เป็นนายทหารสายวัง ที่ถูกวางตัวมาเป็นผู้นำกองทัพพร้อมกัน เพื่อพร้อมรับสถานการณ์วิกฤตทางการเมือง


จากข่าว
ผู้ที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมืองของประเทศชาติ ไม่ใช่ทหาร กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้การปฏิวัติ รัฐประหาร  เพราะนั้นหมายถึงการเมืองไทยถึงจุดแตกหักและมีแต่สร้างฐานให้ประชาธิปไตยของไทยแข็งแกร่งมากขึ้น  ซึ่งเกิดตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 , 6ตุลาคม 2519 พฤษภาทมิฬ และ 19 กันยายน 2549  ซึ่งผลจากการปฏิวัติ รัฐประหารทั้งหมด ไม่ได้สร้างความเจริญ และความมั่นคงในประเทศชาติที่แท้จริง เพราะไม่คำนึงถึงความต้องการและการมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองของประชาชน มีแต่ทำลายความน่าเชื่อถือของกลุ่มตนเอง   ซึ่งปัจจุบันจะเห็นแล้วว่า  ประชาชนส่วนมากเป็นมนุษย์ที่แท้จริงมากขึ้น โดยเฉพาะการกล้าแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ตามสิทธิ เสรีภาพของมนุษย์ที่จะมีได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นระบบถ่วงดุลของประเทศชาติที่แท้จริง ตามระบอบประชาธิปไตย  หากมีการปฏิวัติ รัฐประหาร ด้วยการยกเหตุผลโฆษณาชวนเชื่ออีกครั้งหนึ่ง  ผู้ที่ทำลายประชาชน และประเทศชาติ คงไม่ใช่ใคร นอกจากผู้มีอาวุธทางทหาร  เมื่อถึงเวลานั้นประชาชนต้องต่อต้านอย่างถึงที่สุด  และนานาชาติคงไม่ยินดีกับฝ่ายเผด็จการเป็นแน่   ในสมัยโบราณโหรเป็นผู้พิพากษาให้คนตาย คนเป็นได้ โดยไร้การพิสูนจ์หาความจริง คืองมงายจนฆ่าคน หรือยึดติดจนขาดเหตุผล  นักการเมืองที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แท้จริง  ไม่ใช่แค่ทำให้ได้มาซึ่งตำแหน่งทางการเมือง  แต่ต้องทำให้ประเทศชาติมีระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งและสร้างผลประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง



โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพทางการเมือง   ในระยะสั้นผู้มีอาวุธจะกุมอำนจได้ในระยสั้นๆ แต่ในระยะยาวนั้นประชาธิปไตยจะเป็นตัวบ่งชี้ความเจริญของประเทศชาติอย่างยั่งยืน   กลุ่มบุคคลที่เป็นราชการใส่เครื่องแบบราชการหรือไม่ใส่เครื่องแบบ ทำร้ายประชาชนที่มีความคิดต่างทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย  ถือเป็นผู้กบฏต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริงอย่างในเหตุการณ์14 ตุลาฯ 2516 ,6ตุลาฯ 2519 ,พฤษภาทมิฬ และ  พฤษภาคม 2553  เพราะความมั่นคงของประเทศชาติไม่ใช่การออกมายิง ทำร้ายประชาชนให้ตาย ให้บาดเจ็บหรือให้กลัว  การรักษาความมั่นคงคือการสร้างความเข้าใจ โดยปราศจากการขู่เข็ญ การใช้กำลัง   ประชาชนและนานาชาติไม่ยินดีกับประเทศประชาธิปไตยฯ ที่การกระทำเป็นเผด็จการ  หรือเยี่ยงอย่างคอมมิวนิตส์สมัยเก่าๆที่คอยโฆษณาชวนเชื่อ และปิดหูปิด ปิดปากอย่างที่แล้วๆมา 

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

งอด้ามช้อน

วันอาทิตย์, มีนาคม 11, 2012

ประชาไท: เสวนาวิชาการ "สถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยไทย"


10 มีนาคม 2555

ที่มา ประชาไท

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ประเทศแคนาดา ร่วมจัดประชุมทางวิชาการในหัวข้อ Democracy and Crisis (ประชาธิปไตยและวิกฤติการณ์) โดยมีนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศร่วมอภิปรายในหัวข้อประชาธิปไตยกับการ เลือกตั้ง ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม และสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตย
โดยในหัวข้อสุดท้าย มีผู้ร่วมนำเสนอได้แก่ เดวิด สเตร็กฟัส นักวิชาการอิสระ ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน และปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์
เดวิด สเตร็กฟัส ผู้เขียนหนังสือ Truth on Trial in Thailand: Defamation, Treason, and Lèse-Majesté อภิปรายหัวข้อ "Lese Majeste and Monarchies" (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเหล่าสถาบันพระมหากษัตริย์) นำเสนอแบบอย่างของสถาบันกษัตริย์ในยุโรป ในฐานะที่สามารถดำรงมาได้อย่างยาวนาน และอยู่ร่วมกับความเป็นประชาธิปไตยของรัฐได้อย่างไม่มีปัญหา โดยสเตร็กฟัสใช้กรอบ 5 ข้อเพื่อศึกษาสถาบันกษัตริย์ในยุโรปและในประเทศไทยเชิงเปรียบเทียบ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และรัฐธรรมนูญ การทำโพล ความโปร่งใสด้านงบประมาณ การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายกบฏ
ในแง่ความสัมพันธ์ของกษัตริย์ต่อรัฐธรรมนูญของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในยุโรปแล้ว ยังนับว่ามีความคลุมเครืออยู่มาก โดยจะเห็นตัวอย่างในประเทศเนเธอร์แลนด์ มาตรา 32 ที่กำหนดให้กษัตริย์ต้องสาบานตนต่อสาธารณะว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรือประเทศนอร์เวย์ มาตรา 19 ในรัฐธรรมนูญกำหนดว่ากษัตริย์ต้องสาบานต่อรัฐสภาว่าจะปฏิบัติตามธรรมนูญของ ประเทศ ในขณะที่ในประเทศไทย ยังไม่มีการกำหนดตำแหน่งแห่งที่ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
อีกแง่มุมที่สถาบันกษัตริย์ไทยมีความแตกต่างกับสถาบันฯของยุโรปอย่างเห็น ได้ชัด คือการทำโพลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่ทำขึ้นอย่างแพร่หลาย และเป็นเรื่องปรกติ โดยเสตร็กฟัสส์กล่าวว่า ในระยะสองปีที่ผ่านมา เดนมาร์คได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อสถาบันกษัตริย์ของตนเองอย่าง น้อยสิบครั้ง โดยมีคำถามเช่น ราชินีควรสละราชบัลลังค์หรือไม่ เมื่อไร ทรงงานดีเพียงไหน ส่วนในสวีเดนก็มีการทำโพลเช่นกัน และถามคำถามที่หลากหลาย เช่น กษัตริย์ควรสละราชบัลลังค์ให้กับฟ้าชายเมื่อใด ใครในราชวงศ์ทีชื่นชอบมากที่สุด ไปจนถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ โดยในครั้งนั้นแบบสำรวจพบว่ามีชาวสวีเดนแสดงความไม่เชื่อมันในสถาบัน กษัตริย์ถึงร้อยละ 35 ในขณะที่มีผู้เชื่อมันคิดเป็นร้อยละ 39
เสวนาวิชาการ: สถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยไทย
ที่มา: จากสไลด์นำเสนอของเดวิด สเตร็กฟัสส์
สเตร็กฟัสชี้ว่า การทำแบบสำรวจเช่นนี้ จะช่วยให้สถาบันกษัตริย์ได้ทราบว่าตนเองอยู่ตรงไหนในสังคม และทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนในประเทศไทย การทำสำรวจเช่นนี้ ยังคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมีกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันฯ
สเตร็กฟัสยังชี้ให้เห็นด้านความโปร่งใสด้านงบประมาณในเชิงเปรียบเทียบ ซึ่งในระยะที่ผ่านมา สถาบันกษัตริย์ในยุโรปก็มีแนวโน้มเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ อนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ โฆษกของพระราชวังบักกิงแฮมก็ได้ออกมากล่าวว่า ราชวงศ์ของอังกฤษนั้นนับว่ามีราคาถูก โดยมีภาระด้านการเงินต่อประชาชนคิดเป็นหัวละ 66 เพนซ์เท่านั้น (ราว 1.04 ดอลลาร์สหรัฐ) ในขณะที่หากเปรียบเทียบกับของไทย จะคิดเป็นหัวละราว 5 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม เสตร็กฟัสส์ชี้ว่า ยังมีงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยส่วนมากที่ยังไม่ถูกเปิดเผย และอยู่กระจัดกระจายในหลายกระทรวงและหน่วยงาน อีกทั้งสถานะของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ยังมีความคลุมเครือใน ตัวเองด้วย
เสวนาวิชาการ: สถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยไทย
ที่มา: จากสไลด์นำเสนอของเดวิด สเตร็กฟัสส์
เสวนาวิชาการ: สถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยไทย
ที่มา: จากสไลด์นำเสนอของเดวิด สเตร็กฟัสส์
สำหรับการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บางประเทศในยุโรป ได้บรรจุกฎหมายนี้อยู่ในส่วนของความมั่นคงของรัฐ เช่น ในรัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ ระบุว่า พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ จะถูกฟ้องร้องมิได้ อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการวิพากษ์วิจารณ์สามารถเป็นไปได้อย่างอิสระ เช่น ประเทศนอร์เวย์ เสปน เนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม ซึ่งมีบทลงโทษระหว่าง 2-5 ปี ในขณะที่ประเทศเดนมาร์คและสวีเดน กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายธรรมดาเทียบเท่าได้กับกฎหมายหมิ่นประมาท และมีการยกเว้นความผิดหากพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ หรือหากการวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทั้งนี้ กฎหมายหมิ่นฯ ในยุโรปก็ไม่ค่อยได้ถูกใช้แล้ว โดยในเดนมาร์คไม่ได้ใช้แล้วตั้งแต่ปี 1934 (2477) หรือหากว่ามีการใช้ ก็เป็นแค่การปรับหรือจำคุกเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
เมื่อเทียบกับการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ของประเทศไทย จะเห็นว่านอกจากสถิติการใช้จะเพิ่มขึ้นสูงขึ้นมากตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ยังมีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลกด้วย ถึงแม้ว่าสถิติของปีที่ผ่านมา (2554) จะมีจำนวนการดำเนินคดีหมิ่นฯ 85 คดี จาก 478 คดีในปี 2553 แต่หากเปรียบเทียบกับจำนวนคดีก่อนปี 2549 ที่มีเพียง 2-3 คดีต่อปี ก็นับว่ายังเป็นจำนวนที่แตกต่างกันมาก
เสวนาวิชาการ: สถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยไทย
ที่มา: จากสไลด์นำเสนอของเดวิด สเตร็กฟัสส์
สเตร็กฟัสเปรียบเทียบการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย กับกฎหมายหมิ่นศาสนา (Blaspheme) ว่าแท้จริงแล้วไม่ต่างกันนัก เนื่องจากเป็นเรื่องของการดูหมิ่น “ศรัทธา” หรือ “ความเชื่อ” โดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและ พิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งถ้าหากดูจากกระแสที่คัดค้านการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จากกลุ่มนักวิชาการ ทหาร หรือสว. โดยอ้างเรื่อง “ความรู้สึก” “จิตวิญญาณ” และ “ความศรัทธา” ก็น่าจะเป็นหลักฐานที่ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
“[การคัดค้านของกลุ่มดังกล่าว] ไม่ได้พูดถึงว่ากฎหมายนี้ควรจะถูกปฏิรูปหรือไม่ แต่พวกเขากลับพูดคนละภาษาเหมือนกับว่ามาจากมุมองคนละโลก ไม่ว่าจะเรื่องความ “ศรัทธา” หรือ “ความรู้สึกของประชาชน” เปรียบได้กับการหมิ่นศาสนาเพราะคุณไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ซึ่งขัดแย้งกับหลักสากลที่คุ้มครองเรื่องสิทธิการแสดงออกของพลเมืองตามหลัก สหประชาชาติ และเป็นการโจมตีคนที่ไม่ยอมรับคนที่เห็นตางจากอุดมการณ์ต่างของรัฐ” ส เตร็กฟัสกล่าว
สำหรับตัวชี้วัดข้อสุดท้าย เขากล่าวถึงการใช้กฎหมายกบฏในยุโรป ที่แยกจากการนิยมสาธารณรัฐออกจากการกำหนดความผิดฐานเป็นกบฏ เช่นในประเทศสวีเดน การจับกุมประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการมีสถาบัน ถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน โดยรัฐมองว่า การที่ประชาชนนิยมการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยและเป็นความใฝ่ฝันทางการเมืองมากกว่า ซึ่งสเตร็กฟัสชี้ว่า ถึงแม้รัฐจะเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ได้ แต่แนวโน้มการเติบโตของฝ่ายสาธารณรัฐนิยมก็ไม่ได้เติบโตขึ้นเท่าใดนัก ในทางตรงกันข้าม ความนิยมของสถาบันกษัตริย์เอง จะเสื่อมลง ก็ต่อเมื่อมีประเด็นเรื่องการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้น
เขากล่าวว่า ข้อสังเกตที่แสดงให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์จะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง ยาวนาน ก็คือ การไม่ทำอะไรที่ผิดเกินไป ควรทำให้สถาบันโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเอื้อให้เกิดเสรีภาพในการแสดงออก ดังจะเห็นตัวอย่างจากหลายประเทศในยุโรปที่ประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ ติดลำดับประเทศที่มีเสรีภาพสื่อสูงมากที่สุดในโลก เช่น ในประเทศนอร์เวย์ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์
เสวนาวิชาการ: สถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยไทย
ที่มา: จากสไลด์นำเสนอของเดวิด สเตร็กฟัสส์
สำหรับการอภิปรายของนักวิชาการอีกสองท่าน ประชาไทจะทยอยมานำเสนอต่อไป

จาก บทความข้างต้น  เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ6 ตุลาคม 2519 หรือ พฤษภาทมิฬ คงเป็นบทเรียนสอนใจ และประวัติศาสตร์ที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ที่ทุกคนไม่อยากให้เกิด การป้องกันที่ดี คือการปรับปรุงกฏหมาย ที่จะคอยทำลายประชาชน เหมือน เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ6 ตุลาคม 2519หรือ พฤษภาทมิฬ ยิ่งด้วยการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองการปกครองที่กำลังเข้มข้นมากขึ้น เพราะประชาชน ประชาธิปไตยก้าวหน้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และประเทศในโลกปัจจุบัน เกือบทุกประเทศบ้างก็เปลียนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง  บ้างก็ปรับปรุงพัฒนาการเมืองการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น  เพราะฉะนั้น ประเทศไทยที่ประชาชนมีความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมือง โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ มาตร 112  จึงไม่ใส่เรื่องการทำลายความมั่นคงของประเทศชาติ แต่เป็นความคิดนำประเทศพัฒนาการเมืองกรปกครองของประเทศไปสู่ระบอบประชาธปไตยมากขึ้น  ซึ่งเป็นการปกครองที่เป็นสากลนิยม เพราะการเมืองการปกครองของประเทศชาติ ต้องให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นได้ เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒาการการปกครองของประเทศให้เจริญก้าวหน้าและมนุษย์ทุกคนสามารถอยู่รวมกันได้อย่างบูรณาการ   แม้กระทั่งในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเอง  ประเพณีการไหว้พระจันทร์ก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรมาก เป็นประชาธิปไตย  ครอบครัวไหน หรือคนๆไหนอยากไหว้ก็ไหว้ ไม่อยากไหว้ก็เป็นสิทธิ์และเหตุผลที่สามารถกระทำได้ เพราะประเทศที่พัฒนาแล้ว พิสูนจ์ให้เห็นแล้วว่า บนดวงจันทร์คือความว่างเปล่า  และจีนเองก็เคยส่งยานอาวกาศขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ด้วย 

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

14 /10/112

แก้รัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขการรัฐประหารและการใช้อำนาจนอกระบบ เข้าไปทำลายระบอบประชาธิปไตย และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน  การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรื อแก้ไขกฏหมาย มาตรา 112 ดำเนินไปตามครรลองครองธรรมของระบอบประชาธิปไตย จึงสามารถดำเนินการได้  ผู้คัดค้านสามารถกระทำได้ตามครรลองครองธรรมของระบอบประชาธิปไตย เช่นกัน ไม่ใช่ออกมาขมขู่ หรือใช้กำลังความรุนแรงคัดค้าน  ถ้าอย่างนี้ก็เป็นการทำลายตนเองทั้งทางตรงและทางอ้อม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฏหมายมาตรา 112 เป็นการสร้างบรรทัดฐานในระบอบประชาธิปไตยของประเทศให้สูงทำ เพื่อสร้างสรรค์ประชาธิปไตยในประเทศชาติ ขึ้น   จะทำให้ประชาชน ยื่นอยู่บนความเป็นจริง และลดความรุนแรงที่มีต่อประชาชนทุกคนไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง หรือทำลายคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการแก้ไขเพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกันตามแนวทางระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยแก้ไขไม่ให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่งที่เสียเปรียบทางการเมืองจะไม่อวดอ้างทั้งทางตรงและทางอ้อม เอาสถาบันเข้ามาสร้างประโยชน์ทางการเมือง และหาผลประโยชน์ส่วนตัว  หรือขมขู่ เข่นฆ่าประชาชนที่มีความคิดต่างทางการเมืองที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงจะกระทำได้   คงไม่มีใครอยากเห็นภาพนักศึกษาประชาชน โดนนักเรียน นักศึกษา ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ทำร้ายอย่างเหี้ยมโหด เหมือนในเหตุการณ์  14 ตุลาคม  กฏหมายรัฐธรรมนูญ บางมาตรา และกฏหมาย มาตรา 112 จึงสมควรได้รับการแก้ไข ก่อนที่ประชาชนจะได้รับโทษเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ ซึ่งเป็นการรับโทษที่เกินกว่าเหตุ  แต่กับบุคคลที่ฆ่าคน หลักฐานชัดเจน แต่กลับปล่อยให้ใส่สูทผูกไท่อยู่ในสภา
วรเจตน์" ผนึก "ครก.112-ม.เที่ยงคืน" เดินหน้าแก้ "ม.112" ชูธงร่างรธน.ใหม่ลงโทษพวกทำรัฐประหาร
วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 20:00:00 น.








เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2555 ที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายวรเจตน์  ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการคณะนิติราษฎร์  นายสมชาย  ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นางพวงทอง  ภวัครพันธุ์  อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และครก.112 ร่วมเสวนาเรื่อง "กฎหมายรัฐธรรมนูญกับประชาธิปไตยไทย" มีนักศึกษา ประชาชน เสื้อแดงเข้าร่วมกว่า 500 คน พร้อมเปิดลงชื่อเพื่อเสนอแก้กฏหมายอาญามาตรา 112 มีผู้ร่วมลงชื่อกว่า 100 คน


นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล กล่าวว่าประชาธิปไตยเป็นการต่อสู้แนวคิด การรับรู้ และปฏิบัติการทางสังคม การเป็นรัฐธรรมนูญ ต้องมีจุดเชื่อมโยงประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นฉบับกึ่งรัฐสภากึ่งอำมาตยาธิปไตยแบบเข้มที่ให้องค์กรอิสระ และระบบราชการ เข้ามากำกับการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งการทำรัฐประหารไม่ใช่คำตอบแก้ความขัดแย้งการเมืองไทย เพราะการต่อสู้ เป็นการสร้างระเบียบการเมือง และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง


"ข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ ที่ให้แก้กฏหมาย ม.112 กระทบจารีตประเพณีรัฐประหาร จึงถูกตอบโต้จากทหารและกลุ่มคนชั้นนำ ที่ต้องการรักษาอำนาจไว้ ทำให้ข้อเสนอดังกล่าวเดินต่อไม่ได้เนื่องจากผู้คนคุ้นเคยรูปแบบปกครองแบบเดิม ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการรับรู้และปฏิบัติการทางสังคม ผลักดันให้มีการสร้างประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ ไม่ซ้อนรูปเผด็จการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา และไม่มีสงครามครั้งสุดท้าย ต้องสร้างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีอำนาจ" นายสมชายกล่าว


นางพวงทอง ภวัครพันธุ์ กล่าวว่า ขอมองมิติกฎหมายกับความยุติธรรม จะเห็นได้ชัดว่า ม.112 เป็นกฎหมายที่ไม่ได้ถูกใช้เท่าเทียมกัน ขัดกับหลักประชาธิปไตยที่ต้องการให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียม การออกมาคัดค้านหรือตอบโต้ทำให้ประชาชนตาสว่าง เรียนรู้กระบวนการประชาธิปไตย และตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว ดังนั้นคณะนิติราษฎร์ จึงล่ารายชื่อประชาชน 10,000 คน เพื่อเสนอแก้กฏหมายดังกล่าว และสังเกตเห็นได้ว่าประชาชนตื่นตัวและรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และสนับสนุนแนวทางคณะนิติราษฏร์ แม้รัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทย จะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องก็ตาม แต่มีประชาชนภาคเหนือ อีสาน และภาคใต้ตอนบนร่วมลงชื่อจำนวนมาก


"การที่พรรคเพื่อไทยปฏิเสธแก้ ม.112 ทำให้เสื้อแดงเป็นอิสระ เคลื่อนไหวการเมืองได้มากขึ้น เป็นปรากฏการณ์น่าตื่นเต้น ที่เสื้อแดงเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่สังกัดการเมืองใด ที่สำคัญรู้ถึงความต้องการของตนเอง และกำลังก้าวข้ามความกลัว ไม่ปล่อยให้กฎหมาย ม.112 เป็นเครื่องมือการเมือง แต่แปลกใจที่ไม่มีการตอบสนองจากชนชั้นสูง เพราะไม่อยากรับฟัง แต่ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลง โดยใช้สำนึกสร้างความยุติธรรม เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์" นางพวงทอง กล่าว


นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดประเทศ แต่ถามว่าใครเป็นรัฏฐาธิปัตย์ที่กุมอำนาจสูง
สุด ซึ่งมันควรเป็นของปวงชนชาวไทย ซึ่งทุกคนมีโอกาสสัมผัสและเข้าถึงความเสมอภาค เทียมเท่ากัน ดังนั้นข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ จึงถูกต่อต้าน เพราะรากฐานความคิดแตกต่างกัน แต่ไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะผู้คนคุ้นเคยกับระบบเดิมมายาวนาน ต้องผลักดันประชาธิปไตยเพื่อขับเคลื่อนแนวคิดดังกล่าวให้สังคมได้ขบคิด ถ้าความคุ้นชินถูกทำลายประชาธิปไตยก็จะเดินหน้าไปได้เร็ว


"คณะนิติราษฏร์เสนอให้มีการลบล้างผลพวงรัฐประหารทั้งหมด ซึ่งต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง และให้ประชาชนลงประชามติ ถ้าเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็จบไป ดังนั้นการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ควรมีหมวดว่าด้วยการทำรัฐประหาร เพื่อชิงอำนาจมาจากประชาชน โดยให้ดำเนินคดีและมีบทลงโทษผู้กระทำผิด ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงจารีตประเพณีรัฐประหาร ความคุ้นเคยแบบเดิม และการผูกขาดอำนาจ ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ เช่นทุกวันนี้" นายวรเจตน์กล่าว