การบังคับใช้กฏหมายตามมาตรา 112 เหมาะสมแล้วหรือ เพราะนี้คือ มาตราเกี่ยวกับสถาบันสูงสุดของประเทศ แต่ประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดตามมาตรนี้ กลับไม่ได้รับโอกาสประกันตัวออกมาต่อสู้ตามกระบวนการทางกฏหมาย จึงทำให้ภาพรวมของประเทศชาติเสียหาย
ถ้าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยฯ ที่แจริง ประชาชนที่โดนข้อหาตามมาตร 112 คงไม่เกิดลักษณะเช่นนี้ เพราะประชาธิปไตยเป็นของประชาชน สถาบันเป็นสถาบันที่ประชาชนมองว่าเป็นสถาบันของประชาชนทุกคนและมีคุณธรรมสูงสุด แต่การใช้กฏหมายในคดีทางการเมืองไม่เหมาะสมกับลักษณะการปกครองของประเทศ จึงเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล และสร้างความเสียหายต่อสถาบันอย่างสูงสุด ต้องฟ้องศาลโลก ว่ามีการใช้กฏหมายในคดีทางการเมืองเกิดกว่าเหตุ และไม่มีความเป็นธรรมต่อผู้ต้องคดี ผิดหลักการปกครองของประเทศชาติ
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เพื่อประชาธิปไตยและป้องกันการแอบอ้างเอาสถาบันทำลายประชาชนหรือฝ่ายตรงข้าม
นี้คือประเพณีนิยมของระบบศักดินา และเผด็จการ ไม่ได้ด้วยเลห์ ต้องเอาด้วยเวทมนตร์ ไม่ได้ด้วยเวทมนตร์ ต้องใช้กำลังสิ่งที่เกิดตามภาพนี้ แสดงให้เห็นว่าธรรมะ ย่อมไม่ส่งเสริมสิ่งที่ผิดหลักคุณธรรม
ประเทศที่คนเจริญเป็นมนุษย์แล้ว คือประเทศที่ส่งเสริมและมีระบอบประชาธิไตยที่แท้จริง โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สังเกตจากประเทศที่พัฒนาแล้ว กับประเทศที่กำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา การเมืองการปกครองแตกต่างกันเห็นได้ชัดเจน ตลอดเศรษฐกิจ และสังคม ความเชื่อแบบโบราณ เป็นความเชื่อที่พิสูนจ์ไม่ได้ บอกว่าใครผิดต้องผิด ฆ่าคนตายทั้งเป็น
ประเทศที่เจริญแล้วมีความตระหนักอย่างแรงกล้า จึงเปลียนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อป้องกันและแก้ไขพวกที่บอกว่าปกป้องสถาบัน และแอบอ้างเอาสถาบันสร้างความชอบธรรม
องค์กรสิทธิไทย-เอเชียชี้ "สมยศ" ต้องได้ประกันตัว10 องค์กรสิทธิไทย-เอเชีย เรียกร้องจนท.รัฐปล่อยตัวสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาคดีม. 112 แนะศาลทบทวนการตีความและใช้กฎหมายเพื่อให้สอดคล้องหลักสิทธิเสรีภาพ ตามเจตนารมณ์ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล
วันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ประชาไท รายงานว่า องค์กรสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและเอเชีย 10 แห่ง เช่น เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่พนักงานและศาลไทย ให้สิทธิการประกันตัว นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาคดีม. 112 จากการเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ โดยชี้ว่า สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสากลที่มนุษย์ควรได้รับอย่างเท่าเทียม
แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า หากมีการตีความยกเว้นของกฎหมายกรณีไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจำเป็นต้องมีพยานหลักฐานที่เป็นภาวะวิสัยและน่าเชื่อถือ และตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัด ถ้าเจ้าหน้าที่พนักงานไม่มีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่าพยานจะหลบหนีหรือยุ่งกับหลักฐาน ก็จำเป็นต้องให้ประกันตัวแก่จำเลย และปฏิบัติแก่ผู้ต้องหาในฐานะผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ความผิดตามกระบวนการทางกฎหมาย ตามที่ระบุไว้เป็นหลักการว่าในคดีอาญา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 39 วรรค 2 ประกอบ วรรค 3
เนื้อหาเต็มของแถลงการณ์มีดังนี้
แถลงการณ์การปล่อยตัวชั่วคราว นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข
และจำเลยในคดีอาญาอื่น ที่ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
สืบเนื่องจากกรณีที่ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมด้านแรงงาน แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และบรรณาธิการบริหาร นิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้ถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 และไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวนับตั้งแต่ถูกจับกุมต่อเนื่องจนมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 10 เดือน ล่าสุดนายปณิธาน พฤกษาเกษมสุข บุตรชายของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ได้ออกมาอดข้าวประท้วงคำสั่งของศาลอาญาที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแก่นายสมยศ ทั้งที่มีการยื่นคำร้องไปแล้วถึง 7 ครั้ง ด้วยการเสนอหลักทรัพย์ประกันที่สูงพอสมควร เพื่อเรียกร้องสิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวให้แก่บิดา ปรากฏเป็นข่าวตามสื่ออย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
องค์กรสิทธิมนุษยชนที่มีรายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ เห็นว่า ประเด็นเรื่องสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงความถูกต้องเหมาะสมมาโดยตลอด จึงขอแสดงความเห็นและข้อเสนอในประเด็นดังกล่าว ดังต่อไปนี้
1. สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เป็นสากล ซึ่งมนุษย์ทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียม
สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 40 (7) หรือแม้แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 107 เองก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “เมื่อได้รับคำร้องให้ปล่อยชั่วคราว ให้เจ้าพนักงานหรือศาลรีบสั่งอย่างรวดเร็ว และผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 108 มาตรา 108/1 มาตรา 109 มาตรา 110 มาตรา 111 มาตรา 112 มาตรา 113 และมาตรา 113/1” ซึ่งสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ( International Covenant on Civil and Political Rights) ที่ประเทศไทยได้ลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีด้วย ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในข้อ 9 ข้อย่อย 3 ว่า มิให้ถือเป็นหลักว่าผู้ถูกจับจะต้องถูกควบคุมตัวไว้ในระหว่างการพิจารณาคดี ดังนั้น สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจึงเป็นหลักกฎหมายที่สำคัญ ซึ่งทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในของไทยได้บัญญัติรับรองไว้อย่างชัดแจ้ง และผูกพันให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเคารพและยึดถือปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
2. การตีความข้อยกเว้นของกฎหมายกรณีไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ต้องเป็นกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องมีพยานหลักฐานที่เป็นภาวะวิสัยและน่าเชื่อถือรองรับทุกกรณี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1 ได้บัญญัติข้อยกเว้นที่ให้เจ้าพนักงานหรือศาลมีอำนาจไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวได้หากมีเหตุอันควรเชื่อบางประการ ได้แก่
(1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี
(2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
(3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น
(4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ
(5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล
ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยตัวชั่วคราวพึงตระหนักเสมอว่า การไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเป็นเพียงข้อยกเว้นเท่านั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตีความอย่างเคร่งครัด โดยในกรณีที่จะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเป็นต้องมีพยานหลักฐานที่เป็นภาวะวิสัยและน่าเชื่อถือประกอบในทุกกรณี หากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่สามารถหาพยานหลักฐานที่เป็นภาวะวิสัยและน่าเชื่อถือมาสนับสนุนการคัดค้านการให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้ ศาลก็ต้องอนุญาตให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวเสมอ
3. ศาลมีหน้าที่ตีความกฎหมายให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ และเป็นไปตามหลักสากล เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยทำให้สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นจริงในทางปฏิบัติในทุกกรณี
กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่บัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยย่อมไร้ความหมายหากองค์กรที่มีหน้าที่บังคับใช้และตีความกฎหมายไม่ตีความให้สอดคล้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลย เนื่องจากกฎหมายจะนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริงก็แต่โดยการใช้การตีความของผู้ปฏิบัติ
ดังที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 27 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง” ด้วยเหตุนี้เจ้าพนักงานตำรวจและศาลจึงไม่อาจตีความกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาได้ แต่ต้องตีความกฎหมายโดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญมาตรา 40 (7) บัญญัติรับรองไว้เป็นหลักสำคัญ เพื่อทำให้สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นจริงในทางปฏิบัติ
4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 39 วรรค 2 ประกอบ วรรค 3 ได้บัญญัติไว้เป็นหลักการว่าในคดีอาญาต้องสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด
ดังนั้นก่อนศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าบุคคลใดกระทำความผิด การปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดแล้วย่อมไม่อาจกระทำได้ การที่นายสมยศ พฤกษาเกษมสุขและผู้ต้องหาหรือจำเลยคนอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีอาญา ต้องถูกคุมขังเพราะเหตุไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอยู่ในเรือนจำรวมกับผู้ต้องขังที่ศาลได้พิพากษาจนถึงที่สุดแล้วนั้น จึงขัดต่อหลักการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรานี้ด้วย
จากหลักการและเหตุผลที่กล่าวมา เราขอเรียกร้องให้เจ้าพนักงานตำรวจและศาลตีความ และปรับใช้กฎหมายเรื่องปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้ความสำคัญและเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
ในขณะที่สังคมกำลังให้ความสนใจในคดีของ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ศาลก็มีหน้าที่ในการที่จะแสดงให้สังคมเห็นว่า ตนได้ใช้และตีความกฎหมายโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของจำเลยตามที่กฎหมายกำหนดอย่างครบถ้วนแล้ว โดยพิจารณาให้ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวตามกฎหมาย เพื่อเป็นบรรทัดฐานที่ดีในการพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอื่นๆ ต่อไป
แถลง ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555
เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA)
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม(CrCF)
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน(สสส.)
โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม(EnLAW)
มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม(MAC)
สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย(AIHR)
ศูนย์ข้อมูลชุมชน(CRC)
เครือข่ายพลเมืองเน็ต(Thai Netizen Network)
ศูนย์พัฒนาเด็กและเครือข่ายชุมชน
โครงการเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น