วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

The change for democracy

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 04, 2012


2555
ปีมหามงคลประชาชนไทย-ปีนี้เป็นวาระมหามงคลของประชาชนชาวไทย เป็นโอกาสครบรอบ 80 ปีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 และวาระครบ 100 ปีกบฎร.ศ.130( 27 กุมภาพันธ์ 2455) แม้เหตุการณ์สำคัญยิ่งนี้จะถูกทำให้พร่าเลือนลืมหลง ประชาชนไทยพึงรู้เถิดว่า"ประวัติศาสตร์ยังตื่นอยู่เสมอสำหรับชนชั้นหลัง"(ภาพ:ประชาทอล์ก)

โดย ณัฐพล ใจจริง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม
หมายเหตุไทยอีนิวส์:บทความชุดนี้นำมาจากเอกสารชื่อ จากคณะร.ศ.130” ถึง คณะราษฎร” :ความเป็นมาของความคิดประชาธิปไตยในประเทศไทย เขียนโดย ณัฐพล ใจจริง ท่านสามารถดาวน์โหลดอ่านเอกสารต้นฉบับได้ตามลิ้งค์ http://www.rsu-cyberu.com/leadership/media/Leadership_Forum/RorSor130.pdf

1
ศตวรรษบรรพชนปฏิวัติ 2455--คณะกบฎ รศ.130( พ.ศ.2455 หรือ 100 ปีที่แล้ว) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของนายทหารหนุ่ม ได้แรงบัลดาลใจจากการปฏิวัติซินไห่ ของหมอซุนยัดเซ็น โดยต้องการยกเลิกระบอบราชาธิปไตยแล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นแบบสาธารณรัฐแบบเดียวกับจีน
แต่ต่อมามีสมาชิกอาวุโสเพิ่มเติมเข้ามาในคณะก่อการมากขึ้น เสนอให้เปลี่ยนแปลงไปเป็นประชาธิปไตยแบบมีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญก็พอ
นิตยศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2554 นำเสนอบทความเรื่อง จาก "คณะ ร.ศ.130" ถึง "คณะราษฎร": ความเป็นมาของความคิด "ประชาธิปไตย" ในประเทศไทย ของณัฐพล ใจจริง ที่นำเสนอหลักฐานใหม่ว่า แกนนำผู้ริเริ่มก่อการปฏิวัติรศ.130(พ.ศ.2455 หรือ 99 ปีที่แล้ว)ต้องการยกเลิกระบอบราชาธิปไตยแล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นแบบสาธารณรัฐ อย่างไรก็ดีท้ายที่สุดได้ลงมติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบลิมิเต็ดมอร์นากี้
โดย ณัฐพล ตั้งคำถามว่า ระบอบ "ประชาธิปไตย" ตามความคิดของ "กบฏ ร.ศ.130" ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างสูงไปยัง "คณะราษฎร" ในปี 2475 นั้น คือ ประชาธิปไตยแบบใด ก่อนที่ณัฐพลจะให้คำตอบว่า แกนนำของคณะ ร.ศ.130 มีความคิดโน้มเอียงไปในทาง "รีปัปลิ๊ก"(สาธารณรัฐ) อย่างไรก็ดีในท้ายที่สุดคณะราษฎรได้ลงเอยด้วยการเลือกระบอบลิมิเต็ด มอร์นากี้(กษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ) แบบเดียวกับที่คณะรศ.130ได้ลงมติในตอนท้ายสุด

สยามในบริบทของการปฏิวัติแห่งศตวรรษที 20
แทบไม่น่าเชื่อ เมื่อรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ถูกสถาปนาขึ้นจากกระบวนการรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองกลับเข้าสู่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้ปรากฎผลสำเร็จขึนในปี 2435 แต่เพียงราว 2 ปี ภายหลังรัชกาลของพระผู้ทรงสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และพระผู้ทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของสยามได้สิ้น สุดลง(2453) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันเป็นพระราชมรดกของพระองค์ได้ถูกท้าทายอย่างหนักหน่วงจากกระแสความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ที่ก่อตัวขึ้น
ในกลุ่มคนชั้นใหม่ภายในสังคมสยาม ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ร.ศ. 130 (2455) รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เข้าจับกุมกลุ่มนายทหารและพลเรือนหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่งที่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
( ยังคงมีข้อถกเถียงกันในวันที คณะ ร.ศ. 130” ถูกจับกุม จากบันทึกความทรงจำของร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ ใน คน 60 ปี พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ ณ ฌาปนสถาน วัดมกุฏกษัตริยาราม 21ธันวาคม 2523(กรุงเทพฯ : หจก.เซ็นทรัลเอ็กเพรสศึกษาการพิมพ์, 2523), หน้า 111 และ ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต.
เนตร พูนวิวัฒน์ , หมอเหล็งรำลึก: ประวัติปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ.130(พ.ศ.2454) พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานศพ
ของร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์(นายแพทย์เหล็ง ศรีจันทร์) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม 19 เมษายน 2503 , (กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์กิมหลีหงวน), หน้า 83 ระบุว่า วันที ถูกจับกุมคือ 27 กุมภาพันธ์ 2454 (นับอย่างใหม่ คือ 2455)
แต่การศึกษาของแถมสุข นุ่มนนท์ , ยังเติร์กรุ่นแรก กบฎ ร.ศ. 130 (กรุงเทพฯ : เรืองศิลป์, 2522),หน้า196 และอัจฉราพร
กมุทพิสมัย, กบฏ ร.ศ. 130 กบฏเพื อประชาธิปไตย : แนวคิดทหารใหม่ (กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, 2540), หน้า
188
ระบุว่า วันที ถูกจับกุม คือ 1 มีนาคม 2454 (นับอย่างใหม่ คือ 2455) )

แม้ว่า ที่ผ่านมาจะมีหนังสือและงานวิจัยที่ชิ้นสำคัญทำการศึกษาประวัติศาสตร์ของความพยายามที่เปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงดังกล่าวก็ตาม เช่น งานของแถมสุข นุ่มนนท์ ที่มุ่งเน้น การศึกษาเหตุการณ์ที เรียกว่า กบฎร.ศ.130”
อัจฉราภรณ์ กมุทพิศสมัย ที ศึกษาการปรับตัวของกองทัพสยามสมัยใหม่ ส่วนกุลลดา เกษบุญชู-มี้ด ที่ศึกษาการการล่มสลายของรัฐ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม โดยพินิจไปที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จากรัฐศักดินามาสู่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเคลื่อนไปสู่รัฐประชาชาติเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนชั้นศักดินากับกลุ่มคนชั้นใหม่ที่กำเนิดขึ้น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีงานศึกษาชิ้นใดที่มุ่งไปตรงไปยังตัวความคิดทางการเมืองที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยอันเริ่มต้นจากคณะ ร.ศ.130” อย่างเป็นระบบเท่าที่ควร
ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้ จึงเป็นการศึกษาในเชิงประวัติความคิดทางการเมืองไทย ด้วยวิธีการตีความข้อมูลและตัวบททางประวัติศาสตร์
คำถามที่เกิดขึ้นในใจของผู้เขียนเกี่ยวกับความพยายามปฏิวัติทางการเมืองของคณะร.ศ.130” คือ พวกเขามีความต้องการเปลี่ยนการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามไปสู่ระบอบใด หรือแบบใดกันแน่ รวมถึง ผู้เขียนต้องการทราบว่า ผู้คนในสังคมสยามขณะนั้น รับรู้ความคิดถึงแบบการปกครองนั้นได้อย่างไร
มีร่องรอยการปรากฏตัวของความคิดถึงแบบการปกครองนั้นๆในการปฏิวัติ 2475 หรือไม่ และมีความสัมพันธ์ระหว่าง คณะร.ศ.130” กับ คณะราษฎรอย่างไร
การอำพรางความคิดประชาธิปไตยของ คณะร.ศ.130”

กว่า 3 ทศวรรษที่มีการศึกษา คณะร.ศ.130” นักวิชาการได้ใช้เอกสารชั้นต้นในหอจดหมายเหตุ และบันทึกความทรงจำของสมาชิกคณะร.ศ.130 โดยเฉพาะอย่างยิ งบันทึกที ชื อหมอเหล็งรำลึก:ประวัติปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ.130(พ.ศ.2454)” ที เขียนโดยร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์และร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ พิมพ์เผยแพร่ในงานศพของร.อ.เหล็ง ศรีจันทร์ เมื่อปี 2503
แต่ผู้เขียนยังคงไม่ได้รับคำตอบอย่างพอใจถึงแบบของการปกครองใดกันแน่ที่พวกเขาต้องการ ในบันทึกเล่มดังกล่าว ร.ต.เหรียญ และร.ต.เนตรบันทึกที กำกวมเพียงว่าที่ประชุมลงมติให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายเป็นประชาธิปไตยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ดังนั้น คำถามที่ผุดในใจของผู้เขียน คือ อะไร คือ ความหมายของคำว่าประชาธิปไตยในช่วงบริบทแห่งชีวิตและในความคิดของพวกเขา ตลอดจน พวกเขาได้อำพรางประชาธิปไตยของพวกเขาในบริบททางการเมืองที เปลี ยนไปอย่างไร7
การเริ่ มต้นตอบคำถามข้างต้น ผู้เขียนพบว่า งานศึกษาในเรื่องเหตุการณ์ร.ศ.130นั้น ล้วนอ้างอิงจากหมอเหล็งรำลึกทำให้ไม่สามารถตอบคำถามที่ผู้เขียนต้องการทราบได้ อีกทั้งแทบไม่มีใครให้ความสนใจกับคำว่าประชาธิปไตยที่ ปรากฏในงานเขียนของพวกเขาว่า หมายความว่าอย่างไร

อีกทั้งปราศจากการถอดรหัส ความหมายของคำดังกล่าวของพวกเขา จนกระทั่ังผู้เขียนได้พบหนังสือเล่มเขียนโดย ร.อ. เหล็ง และ ร.ต. เนตร ชื อปฏิวัติ ร.ศ.130” ซึ งเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาถึงเป้าหมายทางการเมืองของพวกเขา โดยเฉพาะแกนนำในครั้งนั้น
หนังสือเล่มนี้พิมพ์แรกในปี 2484 โดยมีปรีดี พนมยงค์ แกนนำของคณะราษฎรและผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแกนนำคณะร.ศ.130”หลังการปฏิวัติ 2475 เขามีส่วนการผลักดันให้พวกเขาเขียนประวัติของความพยายามปฏิวัติครั้งแรกเพื่อเผยแพร่สู่สังคมสยาม
ด้วยเหตุที่ บริบทที่หนังสือเล่มดังกล่าวพิมพ์เผยแพร่ในยุคคณะราษฎร หนังสือเล่มนี้จึงบันทึกอย่างเปิดเผยถึงความคิดทางการเมือง เป้าหมายและความเห็นพ้องร่วมกันของแกนนำนายทหาร และพลเรือนหัวก้าวหน้าเมื อ 100 ปีที แล้วว่า พวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่ งแกนนำมีความคิดโน้มเอียงไปในทาง รีปัปลิ๊กและความคิดดังกล่าวได้ปรากฎในหลักฐานแวดล้อมในเวลาต่อมา
(หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2484 สมจิตร เทียนศิริ ผู้เรียบเรียงได้บันทึกว่า เขาได้เรียบเรียงเรื่องราวจากบันทึกของร.ต.เนตร และหนังสือเล่มดังกล่าวได้รับการตรวจ ทุกตัวอักษรจากร.อ.เหล็ง ภูมิหลังของการเกิดหนังสือเล่มนี้เกิดจากความต้องการของนายปรีดี ดังนี้

ท่านรัฐมนตรี(นายปรีดี)ได้เป็นผู้หนึ่งซึ่งร่วมมือในการปฏิวัติ เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งที่สองที่สำเร็จลง ท่านรัฐมนตรีได้คิดทีจะเรียบเรียงประวัติของคณะราษฎรนี้ไว้ แต่เมื่อท่านเห็นว่าประวัติศาสตร์ชิ้นน้จะสมบูรณ์ก็โดยที่ควรจะมีใครคนหนึ่งทำเหตุการณ์ในสมัย ร.ศ.๑๓๐ ขึ้นก่อน และท่านก็ได้เรียกนายร้อยตรีเนตร พูนวิวัฒน์ซึ่งเป็นผู้ก่อการที่เข้มแข็งผู้หนึ่งในสมัย ร.ศ.๑๓๐ ไปพบ
และแจ้งความคิดในการเรียบเรียงที่จะกระทำของท่านขึ้น กับขอให้นายร้อยตรีเนตร พูนวิวัฒน์ เล่าเหตุการณ์ของคณะร.ศ.๑๓๐ให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบลง แล้วจึงขอให้นายร้อยตรีเนตร ถ้ามีเวลาให้สละเพื่อทำการบันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ แต่เนื่องจาก ด้วยบุคคลทั้งสองยังหาเวลาที่จะปลีกตนมากระทำให้เป็นผลสำเร็จไม่ได้ ทั้งท่านรัฐมนตรี และนายร้อยตรีเนตร จึงปล่อยเวลาให้เนิ่นมาจนกระทั่งบัดนี้)

ความเปลี่ยนแปลงของบริบททางการเมืองหลังยุคคณะราษฎรอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บันทึกของพวกเขาในหมอเหล็งรำลึกที่พิมพ์ในปี 2503 ปราศจาการเปิดเผยถึง ความคิดทางการเมือง และเป้าหมายของระบอบการปกครองที่แท้จริงของพวกแกนนำในครั้งนั้น
เนื่องจาก หากพิจารณาจากบริบทแล้ว หนังสือเล่มนี้พิมพ์ขึ้น ในช่วงเวลาที่ คณะราษฎรสิ้นอำนาจไปแล้ว พร้อมกับบรรยากาศเริ่มต้นในการฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์อย่างรอบด้าน ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ ธนะรัชต์ อาจทำให้พวกเขาระมัดระวังไม่กล้าเปิดเผยความคิดทางการเมืองของพวกเขาเมืองของพวกเขาเมื่อครั้งเก่าออกสู่สังคมหลังยุคคณะราษฎรอย่างเปิดเผย
ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจต้องอำพรางความคิดทางการเมืองของพวกเขา ด้วยการใส่รหัส(encoding)ความหมายโดยการใช้คำว่า ประชาธิปไตยซี่งเป็นคำศัพท์เก่าในบริบทการเมืองใหม่
ดังนั้น หากเราจะถอดรหัส(decoding)ความหมายของคำว่า ประชาธิปไตยของพวกเขา เราต้องตีความคำดังกล่าวหรือหาความหมายของคำนี้ในบริบทที่ใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ก่อนการปฏิวัติ 2475 ความหมายของคำว่า ประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองที่ ผู้เป็นหัวหน้าแห่งอำนาจบริหารไม่ใช่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน คือเป็นบุคคลสามัญหรือ คณะบุคคลซึ่งราษฎรได้เลือกตั้งไว้มีกำหนดเวลา การอยู่ในตำแหน่งไม่เป็นมฤดกตกทอดไปได้แก่ผู้อยู่ในสกุลเดียวกัน” ( http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_the_Republic_of_China เข้าถึง 27 ธันวาคม 2553)
หรือ หมายถึงการปกครองแบบรีปัปลิ๊กที่พวกเขาได้เคยนำเสนอความคิดเอาไว้ใน และแกนนำในครั้งนั้น มีท่าทีสนับสนุนการปฏิวัติไปในทิศทางดังกล่าว
แม้หมอเหล็งรำลึกถูกบันทึกขึ้น' โดยแกนนำของคณะจะอำพรางความคิดทางการเมืองของพวกเขาไว้ แต่ ปฏิวัติ ร.ศ.130” ที่พวกเขาได้บันทึกและพิมพ์ขึ้นในปี 2484 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่คณะราษฎรมีอำนาจทางการเมือง บริบทดังกล่าวทำให้พวกเขาได้เปิดเผยให้เห็นร่องรอยความคิดทางการเมืองของพวกเขา
แต่หนังสือเล่มนี้กลับไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ซึ่งอาจมีผลทำให้การศึกษาความคิดประชาธิปไตยซึ่งเป็นความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมสยามมาหนึ่งศตวรรษนี้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองและประวัติศาสตร์การเมืองของไทยไปอย่างน่าเสียดาย
จากนี้ไปผู้เขียนจะพาท่านสะกดรอยเพื่อหาความหมายของคำว่าประชาธิปไตยควบคู่ไปกับการพิจารณาบทบาท ความเคลื่ อนไหวของคณะร.ศ.130” และความสัมพันธ์ที ใกล้ชิดระหว่างพวกเขากับคณะราษฎรในประวัติศาสตร์การเมืองและประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองไทยเมื่อราวหนึ่งศตวรรษที่ ผ่านมา
ร.ต.วาศ วาสนา (คนที่ 2 จากขวาแถวนั่งหน้าสุด)กับสหายคณะรศ.130ขณะถูกฝ่ายรัฐบาลพระมงกุฎเกล้าฯจับกุมสมาชิกหลายคนเสียชีวิตในคุก ร.ต.วาศ กล่าวกับสหายในวาระสุดท้ายของชีวิตนักปฏิวัติว่า "เพื่อนเอ๋ย กันต้องลาเพื่อนไปเดี๋ยวนี้ ขอฝากลูกของกันไว้ด้วย กันขอฝากไชโย ถ้าพวกเรายังมีชีวิตได้เห็น"
รุ่งอรุณของความคิดประชาธิปไตยใต้เงาระบอบเอกาธิปไตยสยาม
ความเสื่อมทรามที่เกิดขึ้น จากการปกครองจีนของราชวงศ์ชิง และความเคลื่อนไหวของขบวนการถงเหม็งฮุ่ยหรือ ขบวนการปฏิวัติจีนที่นำโดยซุนยัดเซนก่อให้เกิดการโค่นล้มราชวงศ์ชิงในปี 2454 ผนวกกับความเสื่อมซาม ของระบอบเอกาธิปไตยสยามทำให้ในปลายเดือนธันวาคม 2454 เกิดแสงสว่างทางปัญญาท่ามกลางฤดูหนาวในสยาม เมื่อนายทหารหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่ง ได้เริ่มพูดคุยกันถึงการสร้างความก้าวหน้าให้กับสยาม
ประกายความคิดได้ถูกจุดขึ้นจากร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต.จรูญ ษตะเมษ และร.ต.เนตร ได้ปรึกษากันถึงอนาคตของสยามที่กองปืนกลที่ 1 รักษาพระองค์ ถนนซางฮี และได้ใช้หนังสือชื่อประวัติศาสตร์การปฏิวัติซึ งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของประเทศต่างๆมาเป็นตัวอย่างแนวทางการปฏิวัติ
ต่อมา พวกเขาได้ไปหา ร.อ.เหล็ง ที บ้านถนนสาธร เมื่อวันที 10 มกราคม 2455 ร.อ.เหล็งได้นําหนังสือพงศาวดารของประเทศต่างๆมาให้ดูเหตุการณ์ปฏิวัติที เกิดขึ้น เปรียบเทียบเป็นยุคๆเพื อให้เหล่านักปฏิวัติหนุ่มพิจารณา
การพบปะครั้งนั้นของนายทหารนักปฏิวัติหนุ่ม นางอบ ศรีจันทร์ ภริยาของร.อ.เหล็งได้ร่วมกินข้าวเย็น และรับฟังแผนการต่างๆ พร้อมกับเหล่านักปฏิวัติด้วย
ในฐานะที่เธอเป็นสตรี ซึ่งตามลักษณะธรรมดา เมื่อพบว่า สามีของเธอและเพื่อนกับน้องชายต่างคิดการดังเช่นกบฏต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง เอาศีร์ษะเข้าแลกกับคมดาบนั้นแล้ว หน้าที่เธอจะตระหนกตกใจยับยั้งความคิดของสามีเธอ กับเพื่อน แต่เธอกลับแสดงความคิดเห็นและปิติยินดีต่อหน้าที่ของคณะผู้คิดการณ์ไกลจะกู้ราชการบ้านเมืองอีกด้วย เธอได้กล่าวส่งเสริมความยินดี อวยชัยให้พร ขอให้ความคิดของคณะจงสัมฤทธิผล เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาราษฎร กับนํามาซึ่งความเป็นอารยะเทียมทันบรรดาประเทศชาติอื่นๆทั้งหลายต่อไป

ต่อมาได้มีการประชุมจัดตั้งคณะพรรค ร.ศ. 130” ขึ้นเมื่ อ 13 มกราคม 2455 ที่บ้านร.อ.เหล็ง การประชุมครั้งนั้นมีผู้เข้าร่ วมประชุม จํานวน 7 คน คือ ร.อ.เหล็ง ร.ต.เหรียญ ร.ต.จรูญ ร.ต.เนตร ร.ต.ปลั่ ง บูรณโชติ ร.ต. ม.ร.ว แช่ รัชนิกร และร.ต.เขียน อุทัยกุล
พวกเขาได้ร่วมกันกําหนดสัญลักษณลับของ คณะพรรค ร.ศ. 130” เป็นเครื่องหมายธงมีตัวอักษรว่า เสียชีพดีกว่าเสียชาติส่วนเครื ่องหมายของสมาชิก คือ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ ปักมุมด้วยอักษร 2 ตัว สีเดียวกันว่า และ โดยหมายถึงจงระวังตัว ส่วน หมายถึง จงเตรียมตัวไว้เพื อเคลื อนที ได้
และการประชุมในครั้งต่อมา ได้มีการพูดถึงความเสื่อมซามของระบอบเอกาธิปไตยสยาม หลังจากนั้นมีการเตรียมการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที มีกษัตริย์เหนือกกฎหมายไปสู่ประชาธิปไตย

ความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ”: ถอดรหัสความคิดประชาธิปไตยของ คณะร.ศ.130”
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2455 รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เข้าจับกุมคณะร.ศ.130” เจ้าหน้าที ได้ยึดเอกสารชิ้นหนึ งในบ้านของแกนนําสําคัญ คือ ร.อ.เหล็ง เอกสารชิ้นนั้นชื อความเสื่อมซาม และความเจริญของประเทศซึ่ งเป็นเอกสารที่ สะท้อนให้เห็นความคิดทางการเมืองของแกนนําคณะอย่างแจ่มชัด
ในบันทึกมีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ว่า ความก้าวหน้าของประเทศ ต่างๆทั วโลกนั้น จะรุ่งเรือง หรือเสื อมทรามลงก็เพราะการกครองของประเทศนั้น
ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดรู้จักจัดการปกครองโดยใช้กฎหมายแลแบบธรรมเนียมที่ยุติธรรม ซึ่งไม่กดขี่และบียดเบียนให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ประเทศนั้นก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองแลศรีวิลัยยิ่งขึ้นทุกที เพราะราษฎรได้รับความอิสรภาพเสมอหน้ากันไม่มีใครที่จะมาเป็นเจ้า สําหรับกดคอกันเล่นดังเช่นประเทศซึ่งอย่ในูยุโรป แลอเมริกา เป็นต้น
ประเทศเหล่านี้ แต่เดิมก็เคยมีกระษัตริย์ปกครองอยู้่เหนือกฎหมายใช้อํานาจ แอ็บโซล๊ดเต็มที่สําหรับกดขี่ราษฎรได้ตามความพอใจ ครั้นนต่อมาเมื่อราษฎรเกิดความรู้แลความฉลาดมากขึ้นแล้ว จึงได้ช่วยกันลบล้างประเพณีอันชั่วร้ายของกระษัตริย์เสียหมด คิดจัดตั้งประเพณีการปกครองบ้านเมืองขึ้นใหม่ บางประเทศก็บังคับให้กระษัตริย์อยู่ใต้กดหมาย บางประเทศก็ยกเลิกไม่ให้กระษัตริย์ปกครอง คือ การจัดตัั้งการปกครองเป็นรีปับลิ๊ก...

หัวใจสําคัญของบันทึกดังกล่าวได้เสนอ และวิเคราะห์แนวทางการปกครองในโลกว่า มี 3 แบบ คือ
แบบแรกแอ็บโซลุ๊ดมอนากี
แบบที สองลิมิตเต็คมอนากี
และแบบสุดท้ายคือ รีปัปลิ๊ก
สําหรับการปกครองแบบแอ็บโซลุ๊ดมอนากีนั้น บันทึกวิจารณ์ว่า
เป็นระบอบการปกครองที่ กษัตริย์มีอํานาจเต็ม อยู่เหนือกฎหมายกระษัตริย์จะทําชั่วร้ายอย่างใดก็ทําได้จะกดขี่ แลเบียดเบียนราษฎรให้ได้รับความทุกข์ได้ทุกประการ ทรัพย์สิน สมบัติและที่ ดินจะถูกกระษัตริย์เบียดเบียนเอามาเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้อย่างไม่มีขีดจํากัด เช่น ไล่ที ่ทําวัง เงินภาษีอากรจะถูกนํามาบํารุงความสุขให้ส่วนตัว พระราชวงศ์และบ่าวไพร่ เงินบํารุงบ้านเมืองจึงไม่เหลือหรอประเทศสยามเป็นประเทศหนึ่งที ปกครองในระบอบดังกล่าว และมีพวกที คอยล้างผลาญภาษีอากรที่ เข้ามากัดกันกินเลือดเนื้อของประเทศ

ในบันทึกวิเคราะห์ต่อไปว่า ประเทศที่ปกครองแบบดังกล่าวจะทําให้ประเทศทรุดโทรมและถึงแก่กาลวินาศ
การปกครองแบบลิมิตเต็คมอนากี้ในบันทึกวิเคราะห์ว่า
การปกครองแบบนี้ กระษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมาย ดังนั้นกษัตริย์จึงไม่มีอํานาจ พวกเต้นเขนและพวกเทกระโถนตามวังเจ้าจะไม่มีโอกาสได้เป็นขุนนางเลย วิธีการปกครองแบบนี้ เริ่มต้นจากอังกฤษ ประเทศต่างๆได้ทําตามแบบดังกล่าว เช่น ตุรกี และญี่ปุ่น แต่บางประเทศทําเลยไปถึงรีปัปลิ๊ก

บันทึกเห็นว่า คงเหลือแต่ประเทศสยามเท่านั้นที่ ยังคงระบอบการปกครองที่ ่ทําให้ พวกกระษัตริย์ได้รับความสุขสนุกสบายมากเกินไปจนไม่มีเงินจะบํารุงประเทศ
การปกครองแบบสุดท้าย คือ "รีปัปลิ๊กบันทึกนิยามว่า
การปกครองแบบนี้เป็นการปกครองที่ยกเลิกไม่ให้มีกระษัตริย์ปกครองอีกต่อไป แต่มีที่ประชุม สําหรับจัดการบ้านเมืองอย่างแข็งแรง โดยมีประธานาธิบดีเป็นประธานสําหรับการปกครองประเทศ ประชาชนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน

การปกครองรูปแบบนี้ ในบันทึกวิเคราะห์ว่า ราษฎรทุกประเทศจึงอยากเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้เป็นรีปัปลิ๊กทั้งหมด เวลานี้ ประเทศใหญ่น้อยต่างๆเป็นรีปัปลิ๊กกันเกือบทั่วโลกแล้วเช่นประเทศในยุโรป อเมริกา และจีนกําลังต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นรีปัปลิ๊ก

นายแพทย์นักปฏิวัติ-ร้อยเอกนายแพทย์เหล็ง ศรีจันทร์ หรือ"หมอเหล็ง"ได้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เพราะประสงค์จะเจริญรอยตามจีนที่ได้นายแพทย์ซุนยัดเซ็นเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จมาก่อนหน้านี้
ร.อ.เหล็ง และร.ต.เนตรได้บันทึกต่อไปอีกว่า ที่ ประชุมในช่วงแรกๆหลายครั้งให้การสนับสนุนการปกครองอย่างหลังสุดตามแบบจีน พวกเขาได้บันทึกบรรยากาศในประชุมเมื อครั้งนั้นว่าที่ประชุมเอนเอียงไปในระบอบแผนการปฏิวัติของประเทศจีน เนื่องจาก[จีน]มีฐานะและสภาพไม่ต่างจากเรา[สยาม]
สอดคล้องกับร.ต.จรูญ ษตะเมษ หนึ่งในสมาชิกของ คณะร.ศ. 130” ได้ย้อนความทรงจําว่า แนวทางในการปฏิวัติเปลี ยนแปลงปกครองของพวกเขาได้แบบจากจีน แต่แนวความคิดในการปกครองได้มาจากตะวันตก
แนวทางตัดสินใจไปสู่ประชาธิปไตยนั้น พวกเขาบันทึกว่า ได้รับการสนับสนุนจากทั้งนายทหารกลุ่มหนึ งและพลเรือน เช่น พระยารามบัณฑิตสิทธิเศรณี(เซี่ยง สุมาวงศ์) พระพินิจพจนาตรถ์(น่วม ทองอินทร์) บุญเอก ตันสถิตย์(อดีตนักเรียนฝรั่เศส ขณะนั้นทํางานในสถานทูตฝรั่งเศส)และอุทัย เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา
แม้ในบันทึกของพวกเขาเล่าว่า เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้นในการประชุมแต่ละครั้งทําให้เกิดกลุ่มสายกลางขึ้น กลุ่มดังกล่าวมี ร.ต.จือ ควกุล และสมาชิกบางส่วนที เป็นสมาชิกที่มีอายุมากต้องการเปลี่ยนเป็นระบอบ ลิมิเต็ดมอนากีมากกว่า
กลุ่มสายกลางให้เหตุผลว่า ไม่ต้องการให้เกิดความชอกช้ำมากเกินไป ฝ่ายที่ถูกชิงอํานาจก็จะไม่เคียดแค้นถึงกับทําตัวเป็นศัตรูอย่ตลอดกาลร.ต.เนตร ซึ งเป็นเลขาธิการคณะได้ประเมินความคิดของกลุ่มสายกลางว่าไม่ได้ความเลย

น่าสังเกตว่า ในบันทึกของพวกเขาและท่าทีที่ ปรากฎในบันทึกหลายเล่ม พวกเขามิได้เคยรวม ร.อ.เหล็ง ร.ต.เนตรและร.ต.เหรียญ ซึ งเป็นแกนนําสําคัญของคณะสายทหารเอาไว้ในกลุ่มสายกลางเลย
มิพักถึงท่าทีของกลุ่มพลเรือนในคณะซึ่งมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับแกนนําสายทหาร ดังนั้น เราจึงอาจวิเคราะห์ได้ว่า พวกเขาที่เป็นแกนนําทั้งสายทหารและพลเรือนมิได้จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มสายกลาง
กล่าวอีกอย่าง คือ พวกเขามิได้เห็นด้วยกับทิศทางการปฏิวัติเปลี ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบลิมิเต็ดมอนากีให้เกิดขึ้นในสยามในครั้งนั้น แม้แนวทางที พวกเขาต้องการมิได้ประสบชัยชนะ ด้วยคะแนนเสียงที น้อยกว่าเพียงเล็กน้อย แกนนําได้ยอมรับมติที ประชุมในครั้งสุดท้าย
และได้ตกลงกันลงมือปฏิวัติในวันถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาในเดือนเมษายน 2455 แต่ความหวังของพวกเขาในการเปลี ยนแปลงการปกครองของสยาม ไม่อาจบรรลุผลได้เนื องจาก พวกเขาถูกจับกุมในเวลาต่อมาก่อนการลงมือเพียง 1 เดือน
เนื องจาก พ.อ.พระยากําแพงราม(แต้ม คงอยู่)ได้ทรยศหักหลังนําแผนการของพวกเขาไปแจ้งต่อรัฐบาล ทําให้การปฏิวัติครั้งนั้นไม่สําเร็จ
การทรยศดังกล่าวทําให้ พระยากําแพงรามได้ทุนจากรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปศึกษาด้านการทหารในฝรั ่งเศส แต่ทําให้พวกเขาเหล่าผู้กล้าที มาก่อนกาลบางคน เช่น ร.ต.ชอุ่ม สังกัด กองทหารม้าที 1 ยิงตัวตายด้วยการใช้ปืนเล็กสั้นของนายทหาร ยัดเข้าปากปลิดชีพตนเอง
คณะผู้มาก่อนกาล-ทหารหนุ่มคณะรศ.130ช่วงติดคุกการเมือง หลังพ้นโทษได้เผยแพร่ความคิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อนายทหารหนุ่มในรุ่นถัดมา ทำหนังสือพิมพ์โฆษณาให้คนไทยคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง และถอดบทเรียนให้คณะราษฎรก่อการ 2475 สำเร็จในอีก 20 ปีต่อมา

สมาชิกส่วนใหญ่ถูกโยนเข้าคุกไปเป็นเวลากว่า 12 ปี ความรุนแรงของตัดสินโทษของรัฐบาล สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ มีต่อเพื่อนๆของพวกเขา ทําให้ ร.ต.เจือ ศิลาอาสน์ สมาชิกคนหนึ งที ยังไม่ถูกจับกุมได้ลักลอบส่งจดหมายติดต่อกับเพื่อนที่ ต้องโทษทัณฑ์ว่า เขาจะเป็นผู้ถือ ธงรีปัปลิ๊กนําขบวนการปฏิวัติปลดปล่อยเพื่อนออกจากการลงทัณฑ์โดยรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เคราะห์ร้ายที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลยึดจดหมายบับนี้ได้ทําให้เขาถูกจับกุมในเวลาต่อมา
ในระหว่างที่พวกเขาถูกลงโทษ สมาชิกหลายคนเสียชีวิตในคุก ร.ต.วาศ วาสนา หนึ่งในสมาชิกของคณะ เขาได้กล่าวกับเพื่อนๆในวาระสุดท้ายของชีวิตนักปฏิวัติว่าเพื่อนเอ๋ย กันต้องลาเพื่อนไปเดี๋ยวนี้ ขอฝากลูกของกันไว้ด้วย กันขอฝากไชโย ถ้าพวกเรายังมีชีวิตได้เห็น

การรับรู้การปฏิวัติจีนและความเคลื่อนไหวของไทยเหม็ง

100
ปีเก๊กเหม็ง-ภาพยนตร์ 1911 ซึ่งออกฉายในปี 2554 ที่ผ่านมา เฉลิมฉลองโอกาส 100 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนจากราชาธิปไตยสู่สาธารณรัฐ
หากหันมาดูบทบาทของปรีดี พนมยงค์ แกนนําสายพลเรือนในคณะราษฎรซึ่งมีส่วนในการก่อตั้งคณะราษฎรขึ้นในปารีสเพื่อทําการปฏิวัติ 2475 จนสําเร็จนั้น ในเวลาต่อมา เขาได้เล่าย้อนถึงแรงดลใจของเขานั้นเกิดขึ้นจากความสําเร็จของการปฏิวัติจีน และความกล้าหาญของ ไทยเหม็งหรือ คณะ ร.ศ. 130” ว่า

ฝ่ายพวกจีนเก็กเหม็งที่อยุธยาก็ได้ใช้วิธีโฆษณา โดยเช่าห้องไว้ที่ตลาดหัวรอไว้เป็นห้องอ่านหนังสือ มีภาพการรบเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้สนใจ ส่วนงิ้วที่ศิลปินจีนแสดงประจําที่วัดเชิง (วัด พนัญเชิง)นั้น ก็เปลี่ยนเรื่องเล่นใหม่ให้สมกับสมัย คือ เล่นเรื่องกองทหารเก็กเหม็งรบกับกองทหารกษัตริย์ จึงทําให้คนดูเห็นเป็นการสนุกด้วย
ปรีดี ได้เล่าย้อนในวัยเด็กต่อไปว่า เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เขาเห็น ชายจีนทุกคนตัดผมเปียทิ้ง ทั้ง ๆ ที่ได้ไว้เปียมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวจีนเหล่านั้นอธิบายกับเขาว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจีนเป็นผู้กําหนดให้ไว้ผมเปียได้ถูกล้มล้างไปแล้ว จีนได้เปลี่ยนการปกครองก้าวสู่สาธารณรัฐอันมีซุนยัดเซนเป็นผู้นํา
เขาบันทึกว่า ในสมัยนั้น หนังสือพิมพ์ยังไม่แพร่หลายในสยาม โดยเฉพาะในจังหวัดบ้านเกิดของข้าพเจ้า บิดาข้าพเจ้าเห็นว่าข้าพเจ้ากระหายใคร่รู้ข่าวคราวต่าง ๆ มากนัก จึงได้นําหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ของญาติของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนายทหารแห่งกองทัพบกมาให้ข้าพเจ้าอ่าน ทําให้ข้าพเจ้ารับรู้ทีละเล็กทีละน้อยว่า ระบอบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น มีข้อเสียหรือข้อบกพร่องอย่างไร ชาวจีนจึงได้ต่อต้านการปกครองระบอบนี้ และเปลี่ยนมาเป็นการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ

นอกจากนี้ ครูวิชาประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของเขาได้สอนให้เขารู้จักรูปแบบการปกครองฉบับย่อ ว่า ครูสอนว่าแบบการปกครองประเทศแยกออกเป็นสามชนิด คือ ๑.พระเจ้าแผ่นดินอย่เหนือกฎหมาย เรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์๒.พระเจ้าแผ่นดินอยู่ใต้กฎหมายการปกครองแผ่นดิน ๓.ราษฎรเลือกตั้งขึ้นเป็นประมุขเรียกว่า รีปับลิก’… มีคณะเสนาบดี การปกครองประเทศตามความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรครูบางท่านที่ก้าวหน้าได้ติดตามข่าวแล้วเอามาวิจารณ์ให้นักเรียนฟังว่า วันไหนฝ่ายใดชนะฝ่ายใดแพ้ ซึ่งทําให้ปรีดีและนักเรียนที่สนใจเกิดสนุกกับข่าวนั้น
ต่อมาในภายหลัง เขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า ครูมัธยมผู้นี้ อาจเป็นสายจัดตั้งของคณะ ร.ศ. 130” เพราะนําความคิดประชาธิปไตยมาเผยแพร่ แก่นักเรียน โดยเฉพาะในช่วงเกิดสงครามในประเทศจีนระหว่างฝ่ายเก็กเหม็งกับฝ่ายกษัตริย์ราชวงศ์แมนจู
ครูได้สอนอีกว่า ต่อมาในไม่ช้า ความปรากฏว่าฝ่ายกษัตริย์แห่งราชวงศ์แมนจูต้องพ่ายแพ้ ครูที่ก้าวหน้าจึงพดเปรย ๆ กับปรีดีว่า ระบบสมบูรณาฯ ก็สิ้นไปแล้วในจีน ยังเหลือแต่รุสเซียกับเมืองไทยเท่านั้น ครูไม่รู้ว่าระบบสมบูรณาฯ ใดใน ๒ ประเทศนี้ประเทศใดจะสิ้นสุดก่อนกัน
การปฏิวัติจีนกับหนังสือลัทธิตรัยราษฎร์” : การแพร่ กระจายของความคิด ประชาธิปไตยในสังคมสยาม
ต้นแบบ-หมอซุนยัดเซ็น ผู้นำการปฏิวัติพ.ศ.2454 ต้นแบบของหมอเหล็งแลเะคณะในปีต่อมา
ไม่แต่เพียงการรายงานข่าวความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปสู่สาธารณรัฐของจีนจะสร้างความตื่นตัวและสนใจให้กับสังคมสยามเป็นเวลาหลายปี ท่ามกลางความสนใจของสังคมสยามในช่วงกลางทศวรรษ 2460 ได้ปรากฎการแปลความคิดทางการเมืองของซุนยัดเซนและเหตุการณ์การปฏิวัติจีนเป็นหนังสือหลายเล่ม เช่น ซุ่ยเทียม ตันเวชกุล สุนทรพจน์ของท่านซุนยัดเซน เรื่อง ความเพียรนำามาซึ่งผล หรือ เรื่อง การเก๊กเหมงในประเทศจีน ปี พ.ศ.2454”(2465) และมินก๊กอินหงี” (2467)
ต่อมา ตันบุญเทียม อังกินันทน์ ได้แปลลัทธิตรัยราษฎร์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสําคัญของซุนยัดเซนที่ถือได้ว่าเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติจีนเป็นตอนๆบนหน้าหนังสือพิมพ์หลักเมืองในช่วงปี 2468
การนําเข้าความคิดประชาธิปไตยแบบจีนและความคิดทางการเมืองของซุนยัดเซนผ่านการแปลในหนังสือพิมพ์และตีพิมพ์เป็นหนังสือได้สร้างความหวั่นวิตกให้กับรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ งเมื่ อ ต.บุญเทียมได้ตีพิมพ์ผลงานแปลความคิดของซุนยัดเซนเป็นเล่ม และใช้ชื อหนังสือเล่มดังกล่าวเป็นสามภาษาซึ่งแสดงความเป็นสากลของความคิดว่าลัทธิตรัยราษฎร์ ซามินจูหงี (三民主義 San Min Chu I : The Three Principles of The People)”(2472)
จากบันทึกของพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตํารวจ นายทหารผู้ใกล้ชิดคณะราษฎรและอดีตนายทหารมหาดเล็กคนหนึ่งในขณะนั้น ได้บันทึกเรื่องราวในช่วงดังกล่าวว่า คณะหนังสือพิมพ์หลักเมืองของนาย ต. บุญเทียม เจ้าของโรงพิมพ์หลักเมือง ก็ได้เผยแพร่ ลัทธิไตรราษฎร์หรือซามินจูหงี ขึ้น ซึ่งลัทธินี้เป็นลัทธิการต่อสู้ที่น่าสนใจของคณะก๊กมินต๋องที่ต่อสู้มากับระบบเจ้าขุนมูลนายเป็น
ผลสําเร็จ... คําว่าเก็กเหม็งหรือการปฏิวัติก็เริ่มเผยแพร่ เข้ามาอย่ในความรู้สึกของคนไทย
ไม่นานจากนั้น รัฐบาลได้สั่งเก็บหนังสือเล่มดังกล่าวออกไปจากตลาดหนังสืออย่างรวดเร็วและนําไปทําลายทิ้ง หลังจากจําหน่ายได้เพียงไม่กี่เล่ม
โดยรัฐบาลขณะนั้นอาศัยอํานาจตาม พระราชบัญญัติสมุดเอกสารแลหนังสือพิมพ์ พระพุทธศักราช 2465
ด้วยเหตุนี้ การทําลายหนังสือดังกล่าวย่อมสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลขณะนั้นไม่ต้องการให้ความคิดการปฏิวัติและความคิดประชาธิปไตยเข้ามาสู่สังคมสยาม
ภารกิจของคณะ ร.ศ.130 และศรีกรุงกับการสนับสนุนการปฏิวัติครั้งใหม่

หลังจาก ปรีดี ว่าที่ นักปฏิวัติรุ่นใหม่ ได้ไปเรียนต่อในโรงเรียนกฎหมาย เมื่อเขาสําเร็จการศึกษา เขาได้รับทุนไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ฝรั่งเศสในปี 2463 พร้อมกับการนําการรับรู้การพยายามปฏิวัติของคณะ ร.ศ.130” ไปด้วย และต่อมา เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่ งของคณะราษฎรที่ก่อตั้งขึ้นในปารีสเมื อ 2469 และได้ร่วมนําการปฏิวัติ 2475 ในอีกไม่กี ปีต่อมาจากนั้น โดยมี คณะร.ศ.
130”
เป็นแนวร่วมในการบ่มเพาะและปลุกกระแสความตื่นตัวของสังคมสยามให้พร้อมในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กําลังจะเกิดขึ้นต่อไป
ในระหว่างที่คณะ ร.ศ.130 ถูกจําคุกอย่างทรมานระหว่าง 2455-2467 ในบันทึกของสมาชิกของคณะได้บันทึกว่า แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ ถูกทารุณ แต่ความคิดทางการเมืองของพวกเขายังคงสว่างไสว ทําให้พวกเขายังคงเคลื่ อนไหวทางการเมืองต่อไป ด้วยการลักลอบเขียนบทความแสดงการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของรัฐบาลสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์และนวนิยายส่งไปลงตามหนังสือพิมพ์การเมืองหลายฉบับ เช่น จีโนสยามวารศัพท์” “ผดุงวิทยาของเซียวฮุดเส็ง สยามราษฎร์ของมานิต วสุวัตยามาโต” “วายาโม” “พิมพ์ไทย” “ตู้ทองและ นักเรียนเป็นต้น
หลังพ้นโทษในปี 2467 สมาชิกหลายคนไปทํางานหนังสือพิมพ์ เช่น ร.ท.ทองดํา คล้ายโอภาศ ร.ต.จือ ควกุล ทํางานหนังสือพิมพ์ บางกอกการเมืองซึ่งมีอุทัย เทพหัสดินทร์ เพื่อนนักปฏิวัติผู้มีหุ้นส่วนในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว
ส่วน ร.ต.บ๋วย บุณยรัตนพันธ์ ร.ต.ถัด รัตนพันธุ์ ร.ต.สอน วงษ์โต ร.ต.โกย วรรณกุล และร.ต.เนตร ทํางานที ศรีกรุงและ สยามราษฎร์ของมานิต วสุวัต
สมาชิกของคณะร.ศ.130 ได้เล่าความมุ่งมั่นของพวกเขาในการทําหน้าที่นักหนังสือพิมพ์ว่าผู้ที่เคยก่อการ(คณะร.ศ.130)เป็นนักหนังสือพิมพ์แท้ มักตระหนักชัดแจ้งว่า (พวกเขา)เป็นส่วนหนึ่งของชาติหน่วยหนึ่ง
พอเลิกงานแล้วมักจะออกเที่ยวคบค้าสมาคมตามสโมสรและแหล่งชุมนุมต่างๆ เพื่อสังสรรกลั่นกรองความคิดความเห็นและข่าวสารการเมืองเป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
เผ่า ศรียานนท์
บทบาทของเหล่าผู้มาก่อนกาลยังคงต้องการผลักดันการปฏิวัติของสยามต่อไป ดังที่ พล.ต.อ.เผ่า ในขณะนั้นเขามียศเพียงร.ต.ทหารมหาดเล็กฯได้บันทึกว่า เขาได้รับอิทธิพลทางความคิด ประชาธิปไตยจากคณะร.ศ.130” และต่อมานายทหารผู้นี้ได้ให้การสนับสนุนการปฏิวัติ 2475 และร่วมต่อสู้กับอํานาจเก่าจนเขาพ้นจากอํานาจไป
เขาได้บันทึกต่ออีกว่า “(ความคิดปฏิวัติได้แพร่ เข้ามาอยู่ในกระแสความคิดของคนสยามและนายทหาร) เพราะพวกทหารที่คิดเก็กเหม็งหรือคิดปฏิวัติในรัชกาลก่อน(รัชกาลที 6)นั้น ก็มาทํางานตามโรงพิมพ์หนังสือรายวันต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงพิมพ์ศรีกรุง เชิงสะพานมอญ และคําภาษาไทยใหม่ๆก็ได้เกิดขึ้นขนานค่กับลัทธิไตรราษฎร์ของดร.ซุนยัดเซนที่เผยแพร่ ในหนังสือพิมพ์หลักเมือง เช่น คําว่า เสมอภาค ภราดรภาพ ดังนี้เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเร้าอารมณ์ของนายทหารหนุ่มๆ ยิ่งหนังสือพิมพ์หลักเมืองถูกปิด โรงพิมพ์ศรีกรุงถูกปิด ก็ทําให้มีนายทหารเป็นจํานวนมากแอบซื้อหนังสือพิมพ์นี้มาอ่าน
พล.ต.อ เผ่า ได้บันทึกความทรงจําต่อไปว่า ด้วยความกระหายใคร่รู้ของนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จํานวนหนึ ง พวกนายทหารเหล่านั้นได้เริ่มต้นค้นหาความหมายของคําว่าเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ที่เคยเป็นแต่เสียงกระซิบกระซาบ ก็เกิดมีการค้นคว้ากันว่า มัน คือ อะไร
และเมื่ อนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จํานวนหนึ่ งเริ่มตระหนักสนใจในแนวคิดเรื่องเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์เริ่มระแคะระคายถึงความตื ่นตัวทางการเมืองดังกล่าว ทําให้เกิดการจัดตั้ง สมาคมลับแหนบดําขึ้นเพื อทําการต่อต้านการปฏิวัติ โดยสมาคมนี้มีหน้าที่ป้องกันการโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที เริ่มปรากฎขึ้นภายในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
พล.ต.อ.เผ่าเชื อว่า พล.อ.พระยาสุรเดชรณชิต ทําหน้าที ่สืบข่าวและปรามความคิดทางการเมืองของเหล่านายทหาร
แม้รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามจะติดตามกระแสความคิดที ่ไม่พึงปรารถนามิให้เผยแพร่ในกองทัพ แต่กระนั้นก็ดี ร.ต.บ๋วย สมาชิกคณะ ร.ศ.130 ก็ยังคงเพียรทําหน้าที เข้าไปเผยแพร่แนวความคิดในสโมสรนายทหารมหาดเล็กต่อไป
ดังที่ พล.ต.อ.เผ่า ได้บันทึกบทบาทของ คณะร.ศ.130”ว่าลัทธิเก็กเหม็งหรือปฏิวัติแบบซุนยัดเซนก็กระพือสะพัดไปทั่ว นายทหารที่คิดการปฏิวัติเมื่อร.ศ.130 ก็เริ่มเป็นดาราดวงเด่นขึ้น มีคนอยากรู้อยากฟังเรื่องปฏิวัติใน ร.ศ.130 และส่วนมากของนายทหารซึ่งได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ในสมัยรัชกาลที่หกนั้น ก็เข้าทํางานหาเลี้ยงชีพอยู่ตามโรงพิมพ์เป็นส่วนมาก ผู้ที่ขึ้นชื่อที่สุด คือ ร.ต.บ๋วย บุณยรัตนพันธ์ เป็นนักเขียนเรื่องเริงรมย์ทางสวาทชั้นยอด ร.ต.บ๋วยทํางานอยู่โรงพิมพ์ศรีกรุงได้มีโอกาสมาเยี่ยมทหารมหาดเล็กบ่อยๆและชอบเล่าเรื่องการปฏิวัติใน ร.ศ.130
บางคนถามว่าอยู่ในคุกลําบากไหม ร.ต.บ๋วยตอบว่า จะเอาอะไรล่ะคุณ เราก็เป็นทหาร เคยเป็นนักเรียนนายร้อย กินอย่างไรก็ได้ นอนอย่างไรก็ได้ ในคุกนั้นมีของทุกอย่าง เว้นไว้แต่ช้าง ไม่มี เพราะลอดประตูคุกเข้าไปไม่ได้ ทุกๆคนนิ่งฟัง ชมเชยในความกล้าหาญ อีกคนถามว่า กลัวถูกยิงเป้าไหม ร.ต.บ๋วยตอบว่า กลัวน่ะกลัวกันทุกคน แต่อย่างมากคนเราก็แค่ตายเท่านั้น ผมพดอย่างนี้จริงหรือไม่ แล้วสังคมก็ครื้นเครงอารมณ์ไปในทางเลื่อมใส ร.ต.บ๋วย บุณยรัตนพันธ์เป็นอย่างยิ่ง

ร.ต.บ๋วยได้พยายามเผยแพร่ แนวความคิดประชาธิปไตยให้กับนายทหารอย่างต่อเนื ่อง แม้ในเวลาต่อมา มีคําสั งห้ามมิให้นายทหารชวนคนภายนอกเข้ามาในสโมสร แต่ร.ต.บ๋วยก็ยังคงเพียรเปลี ยนแปลงความคิดของนายทหารต่อไปด้วยการส่งหนังสือพิมพ์มาให้ห้องสมุดนายทหารมหาดเล็กเสมอ และได้ย้ายวงสังสรรค์ออกไปนอกกรมทหาร ตามรอบสวนเจ้าเชตุ บางวันก็ไปกินเลี้ยงกันตามร้านอาหารใหญ่ เช่น ร้านฮงเฮง ร้านฮั วตุ้น ตามแต่ขณะนั้นจะมีเงินมากหรือเงินน้อย
การพบปะสังสรรค์แลกเปลี ยนความคิดทางการเมืองระหว่างร.ต.บ๋วยกับนายทหารคนอื ่นๆทําให้นายทหารเริ ่มรับรู้และเห็นด้วยกับความคิดทางการเมืองนั้น ดังที่ พล.ต.อ.เผ่าบันทึกไว้ว่าเรื่องกบฏเก็กเหม็งในเมืองไทยและ ที่ในเมืองจีนซึ่งกําลังต่อสู้กันอยู่ก็เริ่มกระจ่างแจ้งในใจของผู้บังคับหมวด คือ ร.ต.เผ่า ศรียานนท์

การบรรจบกันของคณะร.ศ.130” กับ คณะราษฎรในการปฏิวัติ 2475
ปรีดี พนมยงค์
เมื อปรีดีเดินทางกลับสู่สยาม ภายหลังที เขาสําเร็จการศึกษาและร่วมจัดตั้ง คณะราษฎรที่ปารีสแล้ว เขาได้มีโอกาสพบปะกับ ร.ต.เนตร อดีตแกนนําของคณะ ร.ศ.130” ด้วย
เมื่ อมีความคุ้นเคยระหว่างกันมากขึ้น เขาได้เคยถามถึงสภาพชีวิตในคุกของเหล่าคณะร.ศ.130 และได้แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อโศกนาฏกรรมที่ เหล่าผู้มาก่อนกาลได้รับโทษทัณฑ์ และเขาได้ซักถามถึงสาเหตุของความล้มเหลวของคณะ รศ.130” คือ อะไร
เขาได้รับคําตอบจากร.ต.เนตรว่า เกิดจากการทรยศหักหลังของคนในคณะนําความลับไปแจ้งแก่รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ร.ต.เนตรมั ่นใจว่า หากไม่มีเหตุการณ์ทรยศดังกล่าว ร.ต.เนตรมั่ นใจว่าการปฏิวัติจะประสบความสําเร็จ
ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างเขากับแกนนําในคณะร.ศ.130” นี้ เขาได้บันทึกยืนยันความสัมพันธ์นี้ว่า ปรีดีสนใจในข่าวนี้มาก เพราะเห็น
ว่า เมืองไทยก็มีคณะ ร.ศ.130 รักชาติกล้าหาญ เตรียมเลิกระบบสมบูรณาฯ หากแต่มีคนหนึ่งในขณะนั้นทรยศนําความไปแจ้งแก่รัฐบาล ปรีดีจึงพยามสอบถามแก่ผู้รู้เพื่อทราบเรื่องของ ร.ศ.130ด้วยความเห็นใจมาก
จากประสบการณ์ของ คณะร.ศ.130” ที ่เขาได้รับฟังมา ทําให้เขาต้องสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ดังที่ เขาบันทึกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเช่นอย่างร.ศ.130 ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่จะทํา(การปฏิวัติ)แต่ถูกหักหลัง ถ้าไม่ถูกหักหลังเขาก็สําเร็จ...ผมก็เอาบทเรียนที่เขา(คณะร.ศ.130)พลาดพลั้งมาศึกษา...
เมื่ อความสัมพันธ์พิเศษระหว่าง คณะร.ศ. 130” กับ คณะราษฎรมีความแนบแน่นมากขึ้น จนนําไปสู่ความร่วมมือกัน ดังสมาชิกสําคัญในคณะร.ศ.130” ได้บันทึกถึงบาทบาทของพวกเขาในการสนับสนุนการปฏิวัติ 2475 ว่าเราในโรงพิมพ์ศรีกรุงซึ่งมีสมองปฏิวัติอยู่แล้วแต่เดิม เมื่อเห็นเขาเต้นเขารําก็อดไม่ได้ มิหนําซํ้ามีบางคนได้ตกปากรับคํากับสายสื่อของคณะ พ.ศ.2475 เป็นทางลับไว้ด้วยว่า จะขออนุญาตเจ้าของโรงพิมพ์ใช้หนังสือพิมพ์ศรีกรุงเป็นปากเสียง(organ)ของคณะ 2475 ก็เผอิญนายมานิต วสุวัต ท่านเจ้าของโรงพิมพ์ศรีกรุงซึ่งมีนิสัยใจคอใคร่เห็นความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติให้ทันสมัยอยู่่แล้วได้อนุญาตอย่างลูกผู้ชายนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ความหมายของประชาธิปไตยก่อนการปฏิวัติ 2475
ก่อนการปฏิวัติ 2475 ปรีดีรับราชการในกระทรวงยุติธรรมและเขายังได้ทําหน้าที ผู้สอนวิชากฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมายและได้เขียนตําราคําอธิบายกฎหมายปกครองเล่มสําคัญขึ้น เพื อสอนเหล่านักเรียนกฎหมาย
ในตํารามีการจําแนกของคําว่ารัฐบาลในโลกนี้ ออกเป็น 2 แบบ คือ แบบแรก คือ รัฐบาลราชาธิปไตย ซึ งมีหลายชนิดตั้งแต่ รัฐบาลราชาธิปไตยอํานาจไม่จํากัด (Monarchie absolue)ซึ งพระเจ้าแผ่นดินมีอํานาจเต็ม จนถึง รัฐบาลราชาธิปไตยอํานาจจํากัด (Monarchie limitee)ซึ ่งพระเจ้าแผ่นดินไม่มีอํานาจในการแผ่นดิน
และแบบที สอง คือ รัฐบาลประชาธิปไตย คือ รัฐบาลที ่มีหัวหน้าของผู้บริหารเป็นคนสามัญธรรมดา ไม่มีการสืบทอดตําแหน่งไปยังทายาท แต่การเข้าสู่ตําแหน่งมาจากมาจากการเลือกตั้ของประชาชนตามกําหนดเวลา รัฐบาลประชาธิปไตยมี สองชนิด คือ รัฐบาลที มีประธานาธิบดีเป็นหัวหน้า เช่น ฝรั งเศส กับ รัฐบาลที อํานาจ
บริหารอยู่กับคณะบุคคล เช่น สหภาพโซเวียต

การเรียนการสอนและการถกเถียงถึงรูปแบบการปกครองแบบต่างๆของโรงเรียนกฎหมายในช่วงก่อนการปฏิวัติ 2475 นั้น สร้างความตื่นตัวทางการเมืองให้กับผู้สนใจในความรู้สมัยนั้น โดยเฉพาะนักเรียนกฎหมาย จนกระทั ่งนายทหารผู้หนึ่ งขณะนั้นคนหนึ ่งบันทึกว่า มีข่าวแพร่มาว่า ที่โรงเรียนกฎหมายได้วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิการปกครองแบบใหม่อย่างกว้างขวาง... ที่ของโรงเรียนกฎหมายอันเป็นแหล่งเพาะวิชาปกครองบ้านเมืองและเป็นสถาบันค้นคว้าวิชาการปกครองได้แพร่สะพัดออกมาว่า การที่เขาวิพากษ์วิจารณ์กันเช่นนั้นได้ เพราะเป็นสถานที่ๆให้การศึกษาวิชา
กฎหมายจึงไม่กีดกันความคิดเห็นแต่อย่างใด
เมื องานฉลองพระนคร 150 ปี (เมษายน 2475)ใกล้เข้ามา มีข่าวลือแพร่ สะพัดไปทั วตามเบียร์ฮออล์ บาร์ ร้านจําหน่ายสุรา สถานที่ เต้นรํา แม้กระทั งในสโมสรนายทหารว่า จะเกิดการจลาจล ทําให้รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์สั่ งการให้ตํารวจภูบาลซึ งเป็นตํารวจลับของระบอบเก่าปลอมตัวเข้ามาเป็นแขกขายเนื้อสเต๊ะเข้ามาสืบข่าวในกรมทหารอย่างสมํ าเสมอ ประกอบกับบทบาทของศรีกรุงได้ลงบทความโจมตีระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างต่อเนื่ อง ทําให้เหล่านักหนังสือพิมพ์ชาวคณะร.ศ.130” ถูกติดตามจากตํารวจภูบาลด้วยเช่นกัน
ข่าวการเข้ามาสืบข่าวของตํารวจลับแพร่ออกไป พล.ต.อ.เผ่าได้บันทึกว่า ร.ต.บ๋วย บุณยรัตน์พันธ์ อาจารย์เก็กเหม็งก็หัวเราะร่วนในวงสุราว่า เห็นไหมล่ะ ผมว่าแล้วมีข่าวแปร่งๆในหมู่ทหารบก พวกเรานี่ เมืองไทยนั้นถึงคราวมาช้านาน ถ้าพร้อมเพรียงกันเป็นสําเร็จแน่
ความคิดประชาธิปไตยในประกาศคณะราษฎร
ทหารคณะราษฎรแจกจ่ายเอกสารประกาศคณะราษฎร พร้อมเปล่งเสียงไชโยให้กับการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
พลันที ่การปฏิวัติได้เริ่มต้นขึ้น ในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ปรีดี ได้รับภารกิจสําคัญจากคณะราษฎรให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 27 มิถุนายน และร่างประกาศคณะราษฎรซึ่ งถือเป็นคําประกาศอิสรภาพของราษฎรจากการปกครองระบอบเก่าและประกาศก้าวสู่ระบอบใหม่ ว่า
เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่า กษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอํานาจอย่เหนือกฎหมายเดิม
ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง..คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกําหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอํานาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจําเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นอยู่ในตําแหน่งตามกําหนดเวล…"

ประกาศคณะราษฎรฉบับที่1
ัดังนั้น จะเห็นได้ว่า แม้ความคิดประชาธิปไตยที่ เริ่มต้นขึ้นจากความคิดของคณะร.ศ.130”จะมิได้เกิดขึ้นจริง แต่ความคิดดังกล่าวยังปรากฏแพร่หลายในสังคมสยามโดยสื อผ่านเหตุการณ์การปฏิวัติในจีน หนังสือลัทธิตรัยราษฎร์ของซุนยัดเซ็นและปรากฏขึ้นมาอย่างสําคัญอีกครั้งในคําประกาศคณะราษฎร
เมื่ อพ้นเช้าแห่งประวัติศาสตร์ที่ เกิดการปฏิวัติในสยาม เมื อ 24 มิถุนายน 2475 ในช่วงบ่ายพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรได้เชิญ ร.อ.เหล็งและเหล่าคณะร.ศ.130” มาที ่พระที่นั งอนันตสมาคม ซึ งขณะนั้นเป็นกองบัญชาการของคณะราษฎรในเวลา 13.00 น. หัวหน้าคณะราษฎรได้ยื่ นมือสัมผัสกับอดีตผู้ก่อการรุ่นก่อนหน้า
เขาได้กล่าวกับ คณะร.ศ.130” ว่า ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนที่เยอรมนี ก็เห็นจะเข้าอยู่ในคณะของคุณอีกคนเป็นแน่เขาเล่าให้คณะร.ศ.130” ฟังว่า ในเช้าตรู่ ของวันที 24 มิถุนายน ในระหว่างที เขาคุมกําลังทหารเข้าปฏิวัติ เขาได้จับกุมพระยากําแพงราม(แต้ม) ผู้ทรยศคณะร.ศ.130ได้ และต้องการสั่งยิงเป้าพระยากําแพงรามเพื อเซ่นธงชัยเฉลิมพลที สี ่แยกเกียกกาย แต่พระยาทรงสุรเดช แกนนําสําคัญของคณะราษฎร ได้ห้ามไว้

ส่วนพระยาทรงสุรเดช ผู้เป็นเพื ่อนนักเรียนนายร้อยทหารบกรุ่นเดียวกับร.ต.บ๋วย ได้กล่าวทักทายว่า พอใจไหมบ๋วย ที่กันทําในครั้งนี้อดีตนักปฏิวัติได้กล่าวตอบว่า พอใจมากครับ เพราะทําอย่างเดียวกับพวกผม
และในบ่ายวันนั้น คณะร.ศ.130” ได้พบกับปรีดี แกนนําฝ่ายพลเรือน เขาได้กล่าวกับกล่าวกับเหล่าผู้มาก่อนกาลว่าพวกผมถือว่า การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการกระทําที่ต่อเนื่องกันมาจากการกระทําเมื่อ ร.ศ.130 จึงขอเรียกคณะร.ศ.130 ว่า พวกพี่ๆต่อไป
เมื อการปฏิวัติในวันนั้นผ่านพ้นไป บรรดาเหล่าผู้ที่ ได้เคยสนับสนุนความคิดประชาธิปไตยได้ให้การสนับสนุนคณะราษฎรเช่น การบริจาคสิ ่งของ และการจัดพิมพ์สิ ่งพิมพ์สนับสนุนการปฏิวัติ 2475 โดย ต. บุญเทียม ผู้แปลหนังสือลัทธิตรัยราษฎร์และคณะร.ศ.130” ได้เข้าสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้อย่างแข็งขัน
พวกเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกของประวัติศาสตร์ เช่น ร.ต. เนตร จรูญ ณ บางช้าง ต่อมา สมาชิกบางส่วนได้ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที มีความกล้าหาญและมีฝีปากกล้าในการคัดค้านพระราชประสงค์ของพระปกเกล้าฯที ่ขัดรัฐธรรมนูญซึ ่งเป็นตัวอย่างสําคัญยิ่งของประวัติศาสตร์สภาผู้แทนราษฎร เช่น ร.ต. สอน (ชัยนาท) ร.ท.ทองคํา(ปราจีนบุรี) และร.ต. ถัด (พัทลุง)
สมาชิกบางส่วนกลับเข้ารับราชการภายหลังที คณะราษฎรนิรโทษกรรมความผิดที ผ่านมาให้ นอกจากนี้ พวกเขาได้สนับสนุนพิมพ์หนังสือเอกสารสนับสนุนการปฏิวัติออกแจกจ่ายด้วย รวมทั้ง มานิต วสุวัต ผู้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ที เสียสละยอมให้หนังสือพิมพ์ของตนเป็นหัวหอกในการสนับสนุนการปฏิวัติได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนชุดแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยเช่นกัน
แม้ คณะราษฎรจะทําการปฏิวัติเปลี่ ยนแปลงระบอบการปกครองของสยามได้ แต่กลุ่มอํานาจเก่ามิได้ถูกขจัดไปทั้งหมด ทําให้การปฏิวัติ 2475หาได้ปลอดจากการต่อต้าน เห็นได้จากกลุ่มอํานาจเก่าให้การสนับสนุนกบฎบวรเดช(2476) แต่คณะราษฎรก็สามารถปราบกบฏบวรเดชลงได้
และต่อมามีการจัดงานฌาปนกิจศพเหล่าทหารและตํารวจ ฝ่ายคณะราษฎร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เชิญคณะร.ศ.130” ร่วมเป็นเจ้าภาพงานศพเจ้าหน้าที ฝ่ายรัฐบาลที สละชีวิตปกป้องระบอบใหม่
แบบและประสบการณ์ของการปฏิวัติฝรั่งเศสในความคิดของแกนนําคณะราษฎร
วัฒนธรรมปฏิกริยาต้านปฏิวัติ-ฝ่ายปฏิกริยาได้ผลิตงานโฆษณาชวนเชื่้อออกมาจำนวนมากเพื่อต่อต้านการปฏิวัติ หนึ่งในนั้นคือนวนิยาย"สี่แผ่นดิน"ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเป็นละครเวทีที่เต็มไปด้วยชุดวาทกรรมประณามการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เช่น"ทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน ,ชิงสุกก่อนห่าม ,คิดเอาอย่างฝรั่งโดยหลงลืมวัฒนธรรมและัการเมืองแบบไทยๆ" ตลอดจนโหยหาชีวิตในสทัยราชาธิปไตยว่าเต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ชวนฝัน จนถึงล่าสุดเขียนบทให้ 1 ในคณะปฏิวัติรำพึงรำพันสารภาพผิดที่ก่อการปฏิวัติในวันนั้น
ภายหลังการปฏิวัติ 2475 สังคมสยามมีความตื่ นตัวกับการเปลี ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าวอย่างมาก เห็นได้จากในขณะนั้น มีการผลิตหนังสือที กล่าวถึงประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั งเศสหลายเล่ม เช่น ประวัติศาสตร์สมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส”(2477) “ปฏิวัติฝรั่งเศส ฉบับพิศดารและ ขุมปฏิวัติ(ปฏิวัติฝรั่งเศสฉบับประชาชน)
มีการเกริ ่นนําในหนังสือว่า ดุเดือดที่สุดเลวร้ายที่สุดทารุณี.สุดแต่ก็ดีที่สุด ปฏิวัติฝรั่งเศสระเบิดขึ้นในปี ค.ศ.1789 ไม่ใช่แต่ฝรั่งเศสเท่านั้นเปลี่ยนโฉมหน้าไป โลกทั้งโลกก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเป็นการพลิกประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่
สองปีหลังการปฏิวัติ เราจะเห็นท่าทีของนายปรีดีที มีความประนีประนอม เนื ่องจาก เขาอาจคิดว่า กลุ่มอํานาจเก่าคงจะไม่ต่อต้านการปฏิวัติ 2475อีก และเขาต้องการทํางานมากกว่าการพะวักพะวงกับปัญหาการต่อต้าน เขากล่าวว่า เป้าหมายของเขาอยู่ที่ ความสุขสมบูรณ์ของประชาชนมากกว่าการเปลี ยนแต่เพียงแบบ และเขาวิจารณ์การปฏิวัติฝรั งเศส 1789 ว่า การปฏิวัติฝรั งเศสเป็นการปฏิวัติที ไม่สมบูรณ์(Revolution imparfaite) เนื องจากให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแบบ เปลี่ยนบุคคลผู้เป็นประมุขแห่งการปกครองมากกว่าการสร้างความสุขสมบูรณ์ของประชาชน การดําเนินการของคณะปฏิวัติฝรั่ งเศสจึงนําไปสู่การช่วงชิงอํานาจทางการเมืองที ไม่รู้จบ เขาเห็นว่า แบบการปฏิวัติฝรั งเศสที ่หาได้มุ่งสู่ความสุขสมบูรณ์เป็นแบบที ไม่ควรนํามาใช้กับสยาม
ในขณะที ในเวลาต่อมา จอมพล ป. เพื ่อนนักปฏิวัติในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวอย่างตระหนักถึงผลที ่จะตามมาภายหลังการปฏิวัติของคณะราษฎรจากการต่อต้านโดยกลุ่มอํานาจเก่าต่อสภาผู้แทนฯในปี 2482 หลังรัฐบาลได้ปราบปรามการก่อการบกบฎและก่อวินาศกรรมโดยกลุ่มอํานาจเก่าลงได้ เช่น กบฏบวรเดช การลอบสังหารคณะราษฎรและตัวเขา(2476-2481) เขาได้กล่าวว่าการเปลีjยนแปลงการปกครองนัhน ใช่ว่าจะเปลีjยนแต่ระบอบแล้วย่อมเป็นการเพียงพอ ...ยังต้องคอยควบคุมดูแลมิให้ถอยหลังกลับเข้าสู่ที่เดิมอีก ู
และในปี 2483 เขาได้กล่าวย้ำกับสภาผู้แทนฯอีกว่าระบอบเก่าและระบอบใหม่นี้จะต้องรบกันไปอีกนานจนกว่าระบอบใดจะชะนะ และผมขอยืนยันว่า ในชั่วชีวิตเรา บางทีลูกเราด้วยจะต้องรบกันไปอีกและแย่งกันระหว่างระบอบเก่ากับระบอบใหม่นี้

บทความนี้ ขอสรุปด้วยการยกคําพูดของ ปรีดี แกนนําสําคัญในคณะราษฎรผู้ร่างประกาศคณะราษฎร(2475) ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที สุด(2475) ผู้เคยไม่เห็นด้วยกับการนําแบบการปฏิวัติฝรั งเศสมาใช้(2477) ผู้เคยเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระมหากษัตริย์(2484-2489) และต่อมาเขาได้พยายามปรองดองและปลดปล่อยกลุ่มอํานาจเก่าโดยหวังว่า กลุ่มอํานาจเก่าจะลืมความขัดแย้งในอดีต และร่วมมือกันสร้างสรรค์การปกครองที่ ยอมรับอํานาจประชาชน(2488)
ไม่นานจากนั้นเขาได้ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกับการสวรรคต(2489-2490) และพ้นอํานาจไปด้วยกลุ่มคนที่เขาเคยทําดีด้วย(2490) ในเวลาต่อมา เขาได้วิเคราะห์การเมืองไทยด้วยสายตาของนักปฏิวัติในช่วงปลายแห่งชีวิต(2526)ที่น่าคิดว่า
ในเมืองไทยเวลานี้ ซากทาส-ศักดินายังมีพลังมากหรือน้อยเพียงใดก็ไม่ควรประมาท คิดว่าได้อํานาจรัฐแล้ว จะไม่มีซากเก่าคอยจองล้างจองผลาญอย่างนั้นหรือ ? ”


********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-
ซ่ีรีส์ชุด ร่วมเฉลิมฉลองปีมหามงคลบรรพชนปฏิวัติ80ปี2475-100ปีร.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น