วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พิพาทดินแดน พิพาทเชื้อชาติ ศาสนา



กรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร บริเวณพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร  ผู้เขียนคิดว่าไม่มีใครคิดขายแผ่นดิน แต่คิดว่าผู้ที่มีหน้าที่ทำหน้าปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ เพื่อนำประโยชน์นั้นสู่ประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ และ คิดว่าไม่มีใครคิดจะจุดชนวนสงครามกับมิตรประเทศอาเซียน เพราะการนำประเทศเข้าสู่อาเซียนภายในปี 2558 โดยการใช้สงคราม นั้นคือการนำความพิบัติสู่เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศและมิตรประเทศอย่างแท้จริง ลำพังปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้นำศาสนา ก็ถูกสังหารไม่เว้นแต่ละวัน  ถ้าฝ่ายการเมืองคิดจะนำปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของปราสาทเขาพระวิหารไปโจมตีกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าใครผิดใครถูก นั้น อย่าว่าแต่ตัวปราสาทและที่ตั้งตัวปราสาทที่ตกเป็นของเขมรไปแล้ว พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร เราก็มีสติ ไม่ใช่ไปขมขู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้รับผิดชอบถ้าศาลโลกตัดสินให้ตกเป็นของเขมร  เพราะปัญหานี้เกิดมาตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคม และทุกรัฐบาลไทยก็ทำดีที่สุด ปัจจุบันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในประเทศจะใช้เหตุการณ์ดังกล่าวชี้นำทางการเมือง สร้างความวุ่นวายในประเทศ หวังก่อเกิดการชุมนุมและขยายวงกว้างนำสู่การรัฐประหารดั่งในปี 2549 นั้น คงเป็นไปได้อยาก เพราะคนส่วนใหญ่รู้ว่า"ประชาธิปไตยเป็นมรดกโลก" และมิตรประเทศอย่างเขมร ที่เขาถือว่าเป็นจักรวรรดิขแมร์ หรือเสือภูเขาในอดีต ก็คงไม่ทิ้งเขี้ยวเล็บไว้กับอดีต เช่นเดียวกันกับกลุ่มคนสยาม  ปัจจุบันประเทศไทย ไม่ใช่กรุงสุโขทัย ไม่ใช่กรุงศรีอยุธยา ไม่ใช่กรุงธนบุรี่ แต่เป็นกรุงไทย หรือกรุงรัตนโกสินทร์ ยุคคำว่าประเทศไทย ในยุคศตวรรษที่ 21  สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ยุคฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ เยอรมันไม่ใช่ยุคฮิตเลอร์ รัสเชียไม่ใช่ยุคสตาลิน  ฝรั่งเศสไม่ใช่ยุคนโปเลียน อิตาลีไม่ใช่ยุค        เบนิโต มุสโสลินี  จีนไม่ใช่ยุคชูสีไทเฮา ญี่ปุ่นไม่ใช่ยุคจักรพรรดิ และกัมพูชาไม่ใช่ ยุคเขมร 3 ฝ่าย ฯลฯ แล้วกลุ่มคนสยามยังอยากย้อนยุค ย้อนเวลา เพื่อไปหาศพใคร.  ประเทศต่างๆที่กล่าวมา นี้ มีแต่ใช้เหตุการณ์ที่สร้างความอัปยศในอดีต เป็นบทเรียนในการปฏิรูป หรือปฏิวัติเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ให้ก้าวหน้า  แต่เสียดายที่ประเทศไทยปฏิวัติ ในพ.ศ.2475 แล้ว  แต่อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ  ยังถูกยึดติดอยู่กับคำว่า ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เปรียบดั่งถูดทอดสมอ ไม่ให้เคลื่อนที่เดินหน้า สู่สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ที่จะเป็นไปเพื่อคนทุกเชื้อชาติ ศาสนาและสถาบันประมุขของประเทศในระบอบประชาธิปไตย

                การสร้างชาตินิยมดั่งอดีต คือหนทางแห่งการขุดคุ้ยประวัติศาสตร์ด้านลบของประเทศ ได้เช่นกัน และถือเป็นการข่มขืนทางวัฒนธรรม หรือทางเชื้อชาติ ศาสนา ที่ส่งผลเเกิดเป็นแรงบวกระหว่างชาตินิยม ที่ต่างเชื้อชาติ ศาสนา หรือเกิดเป็นแรงบวกชาตินิยมที่แตกต่างทางความคิด ต่างความปรารถนาทางการเมือง ดั่งเช่นเหตุการณ์ความไม่สงบใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้  ,   เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศระหว่างแนวคิดปฎิรูปประชาธิปไตยใหม่ กับแนวคิดอนุรักษ์นิยม และเมื่อเกิดข้อขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่าย แนวอนุรักษ์นิยม มักกล่าวอ้างถึงคำว่าชาติ ศาสนา และปกป้องสถาบัน เป็นบทท่องจำ ที่อีกฝ่ายไม่สามารถยกเหตุแผลอื่นใดขึ้นมาโต้แย่งได้ เพราะการโต้แย้ง มักจะถูกอีกฝ่ายคัด  ตัดคำพูด แล้วคัดเป็นตัวบรรจงเต็มบรรทัด เข้าสู่กระบวนว่าขัดกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ก็ยัดข้อหาล้มล้างสถาบัน    จึงเป็นชาตินิยมที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเมืองของกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เบ็ดเสร็จ  ดั่งในอดีต จวบจนปัจจุบัน และกรณีตัวอย่างข้อพิพาทในต่างประเทศระหว่างรัฐอิสลาเอล กับ รัฐปาเลสไตน์  ซึ่งก็เป็นข้อพิพาทดินแดน พิพาทเชื้อชาติศาสนาและไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเมื่อไร  เพราะทั้ง2 รัฐยึดหลักชาตินิยมแบบเผด็จการเป็นสำคัญ.
                ก่อนที่ศาลโลกจะตัดสิน ลองแสดงความคิดเห็นง่ายๆ ได้เสียคนละอย่าง  สร้างผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ยึดแนวเขตใดเป็นสำคัญ คิดแบบเข้าข้างตนเอง แบบกลางๆ และแบบเข้าข้างกัมพูชา ได้ดังนี้
1. ถ้าศาลโลกมีมติเป็นส่วนใหญ่ให้ตกเป็นของประเทศไทย หมายถึง ศาลโลก คงเห็นว่าตัวปราสาทและพื้นที่ตั้งตกเป็นของเขมรไปแล้ว ส่วนพื้นที่ทับซ้อนก็ควรตกเป็นของประเเทศไทย เพราะอย่างไรทุกประเทศก็ยึดแผนที่คนละฉบับ  จึงตัดสินได้เสียคนละอย่าง
2. ถ้าศาลโลกมีมติส่วนใหญ่ให้ไทยและกัมพูชา ควรพิทักษ์รักษา และสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะถือเป็นพื้นที่ของ 2 แผ่นดินหรือ พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ 2 แผ่นดิน ถือเป็นโมเดล 2 แผ่นดิน
3. ถ้าศาลโลกมีมติส่วนใหญ่ให้ตกเป็นของกัมพูชา ก็หมายถึง ศาลคงมองอย่างตัวปราสาทและพื้นที่ตั้งตัวปราสาท  ประกอบกับแผนที่ของฝรั่งเศสที่ทำไว้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น