กลยุทธ์ใช้เวทีนอกสภาของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล
เสธ.อ้าย ได้ประกาศยุติอย่างเป็นทางการไปแล้ว เพราะทั้งภาคประชาชน องค์กรเอกชน ส่วนใหญ่
และองค์กรของรัฐ ทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่เห็นด้วย .
ส่วนกลยุทธ์ ที่ 2 ใช้เวทีของรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่ สมาชิกรัฐสภา จะดำเนินการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงได้หรือไม่นั้น
ก็ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกรัฐสภา
จะมีความสำนึกถึงการไม่สร้างความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติมากกว่าการมีอคติต่อฝ่ายตรงข้าม
หรือไม่ ที่ผ่านมา สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้าน
ได้นำกลยุทธ์นอกรัฐสภาที่เห็นกันได้ทั่วไปของความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆไปใช้ในรัฐสภา อย่างนั้น เป็นการแสดงถึงการไม่เคารพต่อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
พฤติกรรมอย่างนั้นไม่สามารถแสดงให้คนของโลกส่วนใหญ่
มีอารมณ์ร่วมไปกับพฤติกรรมที่สวนกระแสโลก ที่ต้องการสร้างประชาธิปไตย
ด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อแก้ไขปัญหา
และพัฒนาประเทศและโลกทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และโดยเฉพาะทางการเมือง ที่ผ่านมาการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีแต่ข้อมูลแบบหาเช้ากินค่ำและหักแข็งแทงหยวก
.
การอภิปรายไม่ไว้วางใจว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น
นั้น มีแต่โบราณมาแล้ว ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง
มันเป็นความรับผิดชอบของทุกคนในประเทศและโลกนี้ทั้งระบบ ที่ต้องแก้ไขทั้งระบบ
ด้วยระบอบประชาธิปไตยและหลักธรรมาภิบาล ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ
พ.ร.บ.ความปรอดองแห่งชาติ นั้น เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ
ความเสมอภาคและภราดรภาพตามระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบัน
ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย จึงเป็นสิทธิอันชอบธรรม
ที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ ตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย
และเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่เหนือกว่าสิทธิแบบอธรรมของฝ่ายค้าน ดูจากผลการเลือกตั้ง
หลายครั้งที่ผ่านมา และในต่างประเทศ
จะเห็นจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นไปในทางพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ทั้งระบบ สำหรับข้อมูลที่มีการกล่าวอ้างว่ารัฐบาลปัจจุบันปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันนั้น เป็นความไม่ยุติธรรมต่อผู้ถูกอภิปราย
เพราะข้อมูลดังกล่าว สามารถเกิดขึ้นได้กับประชาชนทุกคนในประเทศของโลกนี้ ในประเทศไทย ข้อมูลของการแสดงความคิดเห็นต่อสถาบัน
นั้น
มีมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สูระบอบประชาธิปไตย
ตามรัฐธรรมนูญ จวบจนปัจจุบัน และการที่บอกว่าเป็นความผิดของใครคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะตัว
หรือ เป็นความผิดของพรรคใดพรรคหนึ่งที่ไม่บังคับใช้กฎหมายกับประชาชน นั้น เป็นความคิดแบบหาเช้ากินค่ำ
/แบบหักแข็งแทงหยวก นั่นเอง.
ดังนั้น วิธีการที่ชอบธรรมกับการแก้ไขปัญหาการทุจรติคอร์รัปชั่น
และการแสดงความคิดเห็นต่อสถาบัน ซึ่งทั้ง
2 ปัญหามีมาแต่โบราณของมนุษย์ จึงต้องเป็นความรับผิดชอบทั้งระบบ ที่จะปฏิรูปการเมืองการปกครองของประเทศสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตามที่รัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ จวบจนปัจจุบัน
เพื่อนำประเทศสู่การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี อย่างแท้จริง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น