วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชาธิปไตย แบบหาเช้ากินค่ำ/หักแข้งแทงหยวก ≠ หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี





กลยุทธ์ใช้เวทีนอกสภาของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เสธ.อ้าย ได้ประกาศยุติอย่างเป็นทางการไปแล้ว  เพราะทั้งภาคประชาชน องค์กรเอกชน ส่วนใหญ่ และองค์กรของรัฐ ทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่เห็นด้วย  .      ส่วนกลยุทธ์ ที่ 2 ใช้เวทีของรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ สมาชิกรัฐสภา จะดำเนินการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกรัฐสภา จะมีความสำนึกถึงการไม่สร้างความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติมากกว่าการมีอคติต่อฝ่ายตรงข้าม หรือไม่ ที่ผ่านมา  สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้าน ได้นำกลยุทธ์นอกรัฐสภาที่เห็นกันได้ทั่วไปของความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆไปใช้ในรัฐสภา  อย่างนั้น เป็นการแสดงถึงการไม่เคารพต่อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ  พฤติกรรมอย่างนั้นไม่สามารถแสดงให้คนของโลกส่วนใหญ่ มีอารมณ์ร่วมไปกับพฤติกรรมที่สวนกระแสโลก ที่ต้องการสร้างประชาธิปไตย ด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อแก้ไขปัญหา และพัฒนาประเทศและโลกทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และโดยเฉพาะทางการเมือง ที่ผ่านมาการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีแต่ข้อมูลแบบหาเช้ากินค่ำและหักแข็งแทงหยวก .
 การอภิปรายไม่ไว้วางใจว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น นั้น มีแต่โบราณมาแล้ว ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง มันเป็นความรับผิดชอบของทุกคนในประเทศและโลกนี้ทั้งระบบ ที่ต้องแก้ไขทั้งระบบ ด้วยระบอบประชาธิปไตยและหลักธรรมาภิบาล  ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ความปรอดองแห่งชาติ นั้น เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพตามระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบัน ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย จึงเป็นสิทธิอันชอบธรรม ที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ ตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย  และเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่เหนือกว่าสิทธิแบบอธรรมของฝ่ายค้าน   ดูจากผลการเลือกตั้ง หลายครั้งที่ผ่านมา  และในต่างประเทศ จะเห็นจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นไปในทางพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งระบบ สำหรับข้อมูลที่มีการกล่าวอ้างว่ารัฐบาลปัจจุบันปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันนั้น  เป็นความไม่ยุติธรรมต่อผู้ถูกอภิปราย เพราะข้อมูลดังกล่าว สามารถเกิดขึ้นได้กับประชาชนทุกคนในประเทศของโลกนี้   ในประเทศไทย ข้อมูลของการแสดงความคิดเห็นต่อสถาบัน นั้น  มีมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สูระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญ จวบจนปัจจุบัน และการที่บอกว่าเป็นความผิดของใครคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะตัว หรือ เป็นความผิดของพรรคใดพรรคหนึ่งที่ไม่บังคับใช้กฎหมายกับประชาชน นั้น   เป็นความคิดแบบหาเช้ากินค่ำ /แบบหักแข็งแทงหยวก นั่นเอง. 
ดังนั้น  วิธีการที่ชอบธรรมกับการแก้ไขปัญหาการทุจรติคอร์รัปชั่น และการแสดงความคิดเห็นต่อสถาบัน  ซึ่งทั้ง 2 ปัญหามีมาแต่โบราณของมนุษย์  จึงต้องเป็นความรับผิดชอบทั้งระบบ  ที่จะปฏิรูปการเมืองการปกครองของประเทศสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ตามที่รัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ จวบจนปัจจุบัน เพื่อนำประเทศสู่การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี อย่างแท้จริง.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น