6 ตุลาคม 2519 ในอดีต ตั้งแต่เวลา 02.00 น.ถึง
18.00น.และโดยเฉพาะช่วงเวลา 08.30น. ถึง 10.00
น.ซึ่งเป็นช่วงขอการสลายการชุมนุมของนักศึกษาและประชาชน
โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและกลุ่มที่รัฐให้การสนับสนุนโดยวิธีการที่เป็นไปอย่าง
อัปลักษณ์ ผิดวิสัยของความเป็นมนุษย์ ที่จะดำรงรักษาชาติ
ศาสนาและสถาบันประมุข อย่างแท้จริง ทำให้มีนักศึกษาและประชาชนบาดเจ็บ
ทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้หญิงบางคนถูกข่มขืน และถูกทรมารจนเสียชีวิต
บางคนถูกทุบตีแล้วเผาทั้งเป็น บางคนถูกแขวนคอและทุบตีอย่างกระหายเลือด ฯลฯ
ผลของการกระทำต่อนักศึกษาและประชาชนในครั้งนั้น
ผู้กระทำได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดี
ผู้ถูกกระทำก็ตกเป็นเครื่องบูชายัญของกลุ่มอัตตาธิปไตย อย่างนี้เรื่อยมา
และกลายเป็นปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อย่างมหันต์
จวบจนปัจจุบัน.
จากวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ถึง 6 ตุลาคม 2555 เป็นเวลา 36 ปี ระบอบประชาธิปไตย เป็นเพียงวิธีการหน้าฉากของการรักษาอธิปไตยแบบอัตตาธิปไตยของศักดินาธิปไตย แต่หลังฉาก ยังเป็นการเมืองการปกครองแบบอัตตาธิปไตยของศักดินาธิปไตยอย่างแยบยล โดยวิธีการที่อัปลักษณ์ธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เชื่อว่านักศึกษา และประชาชน มีความมุ่งหวังที่จะทำให้ประเทศมีการเมืองการปกครองที่เป็นแบบธรรมาธิปไตย โดยต้องแสดงพลังจิตอันบริสุทธิ์ของอุดมการณ์ที่บริสุทธิ์ สติปัญญา่ที่แตกฉานถึงแก่นแท้ของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้ง ทางตรงและทางอ้อม อย่างกล้าหาญ อดทน ให้ต่อเนื่องอย่างก้าวหน้า จึงเชื่อว่าการเมืองการปกครองในประเทศจะต้องมีการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลง ไปสู่อุดมการณ์ทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ เสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ ด้วยอธิปไตยแบบธรรมาธิปไตย ในไม่ช้า เพราะการเปลี่ยนแปลงของโลกโดยธรรมชาติและโดยมนุษย์มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายตลอดเวลา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอธิปไตยของโลกาธิปไตย ด้วยธรรมาธิปไตย ที่ไม่ใช่อัตตาธิปไตยของศักดินาธิปไตย เพือรักษาอธิปไตยของตนเอง แต่ต้องเพื่อรักษาอธิปไตยของระบอบประชาธิปไตย.
ความก้าวหน้าการเมือง การปกครองของประเทศในปัจจุบันและอนาคต ที่จะนำพาประเทศสู่ความเจริญรุ่งเรืองแท้จริงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม คือ การเมืองการปกครองที่เต็มไปด้วยพลังจิตอันบริสุทธิ์ ด้วยอุดมการณ์ที่บริสุทธิ์ โดยสติปัญญาที่แตกฉานถึงแก่นแท้ของระบอบประชาธิปไตย ที่จะสร้างอธิปไตยของระบอบประชาธิปไตย คน/กลุ่มบุคคลที่สำคัญที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักปกครอง ไม่ใช่นักมีอำนาจ นักบารมี และนักยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ต้องเกิดจากนักศึกษา และประชาชน เป็นสำคัญ.
นักศึกษาและประชาชน เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ในครั้งนั้น เป็นสิ่งจองจำผู้กระทำ หรือเป็นการสะสมกรรมของผู้กระทำ แต่เป็นสิ่งที่จดจำอย่างเปิดใจ เปิดปัญญา เปิดประเทศ และท้ายที่สุดการสูญเสียชีวิตอย่างไม่ได้เจตนาของนักศึกษาและประชาชน แต่เป็นการสูญเสียชีวิตของนักศึกษาและประชาชน อย่างเจตนาของรัฐและกลุ่มที่รัฐสนับสนุน เปรียบเสมือนกรรมดีของนักศึกษาและประชาชน และกรรมชั่วของผู้กระทำ เชื่อว่ากรรมดี ต้องอยู่เหนือกรรมชั่ว และ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ไม่ใช่แสงเทียนเพิ่งเริ่มจุด แต่เป็นเปลวแสงของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งถูกส่งขึ้นบนท้องฟ้าอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 และก็เปรียบเสมือนแสงแห่งดวงอาทิตย์ ที่ต้องอยู่กับสรรพสิ่งบนโลกอย่างไม่มีวันห่างหาย.
จากวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ถึง 6 ตุลาคม 2555 เป็นเวลา 36 ปี ระบอบประชาธิปไตย เป็นเพียงวิธีการหน้าฉากของการรักษาอธิปไตยแบบอัตตาธิปไตยของศักดินาธิปไตย แต่หลังฉาก ยังเป็นการเมืองการปกครองแบบอัตตาธิปไตยของศักดินาธิปไตยอย่างแยบยล โดยวิธีการที่อัปลักษณ์ธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เชื่อว่านักศึกษา และประชาชน มีความมุ่งหวังที่จะทำให้ประเทศมีการเมืองการปกครองที่เป็นแบบธรรมาธิปไตย โดยต้องแสดงพลังจิตอันบริสุทธิ์ของอุดมการณ์ที่บริสุทธิ์ สติปัญญา่ที่แตกฉานถึงแก่นแท้ของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้ง ทางตรงและทางอ้อม อย่างกล้าหาญ อดทน ให้ต่อเนื่องอย่างก้าวหน้า จึงเชื่อว่าการเมืองการปกครองในประเทศจะต้องมีการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลง ไปสู่อุดมการณ์ทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ เสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ ด้วยอธิปไตยแบบธรรมาธิปไตย ในไม่ช้า เพราะการเปลี่ยนแปลงของโลกโดยธรรมชาติและโดยมนุษย์มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายตลอดเวลา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอธิปไตยของโลกาธิปไตย ด้วยธรรมาธิปไตย ที่ไม่ใช่อัตตาธิปไตยของศักดินาธิปไตย เพือรักษาอธิปไตยของตนเอง แต่ต้องเพื่อรักษาอธิปไตยของระบอบประชาธิปไตย.
ความก้าวหน้าการเมือง การปกครองของประเทศในปัจจุบันและอนาคต ที่จะนำพาประเทศสู่ความเจริญรุ่งเรืองแท้จริงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม คือ การเมืองการปกครองที่เต็มไปด้วยพลังจิตอันบริสุทธิ์ ด้วยอุดมการณ์ที่บริสุทธิ์ โดยสติปัญญาที่แตกฉานถึงแก่นแท้ของระบอบประชาธิปไตย ที่จะสร้างอธิปไตยของระบอบประชาธิปไตย คน/กลุ่มบุคคลที่สำคัญที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักปกครอง ไม่ใช่นักมีอำนาจ นักบารมี และนักยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ต้องเกิดจากนักศึกษา และประชาชน เป็นสำคัญ.
นักศึกษาและประชาชน เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ในครั้งนั้น เป็นสิ่งจองจำผู้กระทำ หรือเป็นการสะสมกรรมของผู้กระทำ แต่เป็นสิ่งที่จดจำอย่างเปิดใจ เปิดปัญญา เปิดประเทศ และท้ายที่สุดการสูญเสียชีวิตอย่างไม่ได้เจตนาของนักศึกษาและประชาชน แต่เป็นการสูญเสียชีวิตของนักศึกษาและประชาชน อย่างเจตนาของรัฐและกลุ่มที่รัฐสนับสนุน เปรียบเสมือนกรรมดีของนักศึกษาและประชาชน และกรรมชั่วของผู้กระทำ เชื่อว่ากรรมดี ต้องอยู่เหนือกรรมชั่ว และ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ไม่ใช่แสงเทียนเพิ่งเริ่มจุด แต่เป็นเปลวแสงของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งถูกส่งขึ้นบนท้องฟ้าอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 และก็เปรียบเสมือนแสงแห่งดวงอาทิตย์ ที่ต้องอยู่กับสรรพสิ่งบนโลกอย่างไม่มีวันห่างหาย.
มหาตมะคานธี มหาบุรุษอหิงสา เพื่อความปรองดองของมนุษยชาติ อย่างแท้จริง ของสาธารณรัฐอินเดีย
มหาบุรุษแห่งสาธารณรัฐจีน
มหาบุรุษของโลกาธิปไตย โดยธรรมาธิปไตย ของประเทศไทย
*****
ภาพด้านล่าง ของเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
เหล่าอมหาบุรุษที่รักษาอธิปไตยของศักดินาธิปไตยอย่างอัปลักษณ์ ต่อ นักศึกษาและประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
วีธีที่อัปลักษณ์ ที่เป็นเอกลักษณ์ของศักดินาธิปไตย
จึงไม่มีชาติในโลกนี้ที่จะอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิรายช์
ประเทศที่อยู่ในระบบกษัตริย์ได้อย่างมั่นคงที่แท้จริง ไม่ใช่ประเทศที่ใช้วิธีการอย่างอัปลักษณ์เช่นนี้ แต่เป็นประเทศที่มีการปฏิรูป/เปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน ปัจจุบันศักดินาธิปไตยได้ครอบงำและประชานิยมทั้งในและต่างประเทศ โดยพยายามกระทำทุกอย่างเป็นผักชีโรยหน้า เพื่ออธิปไตยของศักดนาธิปไตย แต่ไม่ได้หวังผลอะไรที่เป็นสาระหรือแก่นแท้ของระบอบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในชาติอย่างแท้จริง ยังเป็นเพียงหวังผลจากเปลือกข้าว มากกว่าเมล็ดข้าว
สถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันประมุขของประเทศ ไม่ใช่ สิ่งปกป้องผู้กระทำผิดต่อระบอบประชาธิปไตย หรือสิทธิมนุษยชนไม่ว่ากรณีใดๆ และศาลต้องเป็นองค์กรของมนุษยชาติอย่างแท้จริง แต่ไม่ใช่องค์กรของคำว่าชาติ ศาสนา และสถาบันประมุขของประเทศ
การเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงในประเทศ มีมาตั้งแต่โบราณ เพราะโบราณประชาชนอยู่อย่างถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม โดยปราศจากสิทธิ เสีรภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ.
อย่าโทษใครคนใดคนหนึ่ง/คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นต้นเหตุปัญหาทางการเมือง แต่ต้นเหตุนั้นเกิดจากจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ที่ต้องการจะอยู่อย่างมีเสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพอย่างแท้จริง ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยปราศจากการครอบงำของศักดินาชั้นสูง ฉะนั้นต้นเหตุที่แท้จริง คือการไม่ยอรับในความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งในความเป็นตามหลักสากลและแนวทางของศาสนา คือ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่มีสิ่งใดที่จะปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ นอกเสียจากการยึดมั่น ถือมั่น และไม่ได้ยึดหลักการของศาสนาอย่างแท้จริง เท่านั้น .
การใช้คำว่าชาติ ศาสนา และสถาบันประมุขของประเทศอย่างบิดเบือน แทรกแซงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คือ การสร้างฟองสบู่ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอย่างแท้จริง และนี้คือปัญหาที่แท้จริงของชาติทุกยุคทุกสมัย
นี้หรือ วิธีการจากปัญญาของเหล่าที่บอกตนเองว่าเพื่อชาติ ศาสนา และสถาบันประมุขของประเทศ อย่างนี้หมายความว่า ต้องการเปลือกข้าว (แกลบ) มากว่าเมล็ดข้าว และเป็นการสร้างความเสื่อมโดยสิ้นเชิง
สิ่งเหล่านี้ คือ ความร้อนที่จะไปสลาย ภูเขาน้ำแข็งที่พวกเขากล่าวอ้าง
การเรียกร้องประชาธิปไตยของมนุษย์ ในประเทศไทย ไม่ได้เพิ่งเกิดในปี พ.ศ.2475 แต่ในความเป็นจริงของมนุษยชาติ มีความต้องการประชาธิปไตยมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม.
"การปฏิรูป/เปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยปราศจากการครอบงำขององค์กรที่ใช้คำว่าชาติ ศาสนา และสถาบันประมุข ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือคุณภาพเชิงประจักษ์ของประชาชนคนไทย ที่ไม่ด้อยคุณภาพทางสติปัญญา ที่จะทำให้ทุกคนมีเสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น