วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สุข(ศุกร์) 13 ก.ค.55.



ถ้าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินการแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดมาตรา 68ของรัฐธรรมนูญ หมายความว่า ตัดสินโดยยึดระบอบศักดินาเป็นสำคัญ   และเป็นเครื่องยืนยันอีกครั้งว่าองค์กรหลักของประเทศ ไม่สามารถเป็นที่พึงพิงของประชาชนได้อย่างแท้จริง  อีกต่อไป   ถ้าตัดสินแบบผู้ใหญ่ใจกว้างดั่งมหาสมุทรว่าไม่ขัดแต่ให้เป็นไปตามกระบวนการของรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และขั้นสุดท้ายให้ทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และสามารถละกิเลสทัศนคติของตนเองเอาไว้ได้จริงๆ ขณะทำหน้าที่ในการให้มีการแสดงประชามติโดยการลงคะแนนทางลับทั่วประเทศ.
  ในประเทศทั่วโลกจากอดีต-ปัจจุบัน การเมืองการปกครองเ้กิดจาก 1.บุคคล/กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจทางทหาร และสร้างบารมี โดยใช้ความเชื่อในเรืองสมมุติเทพ (ระบบกษัตริย์),2.บุคคล/กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจกำลังทางทหาร (เผด็จการ) 3. บุคคล/กลุ่มบุคคลประชาชนทั่วไป ที่มีความเห็นต่างจาก สองกลุ่มแรกอย่างสิ้นเชิง (คอมมิวนิสต์),และ 4. บุคคล/กลุ่มบุคคลที่เห็นต่างจากทั้ง สามกลุ่ม โดยมีความเชื่อในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ในความเป็นจริง เป็นความเชื่อที่ให้การเมืองการปกครองเป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน จึงเกิดเป็น 1.ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงแบบสุดขั้วอุดมการณ์/ประชาธิปไตยหนึ่งนำ  คือ แบบประธานาธิบดี เช่น สหรัฐอเมริกา ฯลฯ 2.ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ เป็นประชาธิปไตยแบบสอง นำ เช่นฝรั่งเศล ,เยอรมัน ฯลฯ3.ประชาธิปไตยแบบราชาประชาธิปไตย เช่น อังกฤษ,ญี่ปุ่น,นอรเวย์ฯลฯ ซึ่งในรัฐธรรมนูญของทุกประเทศกำหนดให้กษัตริย์เป็นเพียงประมุขของประเทศ ไม่มีอำนาจทางการเมืองการปกครองโดยตรง จะดำเนินการใดๆต้องผ่านรัฐสภาหรืิอภาครัฐ .
จะเห็นว่าในอดีต ถึงปัจจุบันทุกประเทศ การเมืองการปกครองไม่ใช่กฏหมาย ไม่ใช่ระเบียบข้อบังคับ แต่เป็นเรื่องของบุคคล/กลุ่มบุคคล ที่จะสร้าง แก้ไขปรับปรุงพัฒนาการเมืองการปกครองตามสถานการณ์และโอกาส/ตามทัศนคติของตนเอง/กลุ่ม ในอดีต คือใช้กำลังทหาร กำลังความเชื่อแบบสมมุติเทพ กำลังประชาชนแบบคอมมิวนิสต์และในปัจจุบันที่สากลประเทศยอมรับ คือ พลังประชาชนในระบอบประชาธิปไตย โดยใช้กระบวนการของรัฐสภา ที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมโดยใช้ประชามติ .
การแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศไทย จุดประสงค์เพื่อแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาการเมืองการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง และเป็นไปตามขั้นตอนที่สากลประเทศยอมรับ ดังนั้น เมื่อมีการหยิบยก ขัด มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ก็เป็นเรื่องที่ศาลตุลาการรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตามที่มีผู้ร้อง แต่ถ้ามีการตัดสินถึงขั้นให้มีการล้มเลิกการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยทั้งที่ยังไม่เห็นเนื้อหาที่แท้จริงๆของรัฐธรรมนูญแล้ว ก็หมายความว่า ความระแวงหวาดหวั่นต่อประชาธิปไตยของกลุ่มอนุรักษ์นิยม จะเป็นตัวปั่นทอนความน่าเชื่อถือของกลุ่มอนุรักษ์นิยมโดยตนเองสร้างเองจนถึงจุดต่ำสุดเช่น การล่ารายชื่อถอดถอนศาลรัฐธรรมนูญ การแสดงสปิริตลาออกของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และพฤติกรรมของส.ส.ปชป.ในสภา  จะเห็นว่าผลการเลือกตั้งทั่วไป ระดับระเทศ ปชป.นับวันคะแนนนิยมลดลงเรื่อยๆ "ยิ่งดิ้นยิ่งลด" .
ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงไม่ควรนำมาตรา 68 เข้ามายุ่งเกี่ยวเพื่อล้มเลิกการแก้ไขรับธรรมนูญ เพราะ มันจะนำไปโยงให้เกี่ยวข้องตามกลยุทธ์ของ พธม.และปชป.ที่วางไว้ เพื่อทำลายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการสกัดกั้น อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ของปชป.และพธม.การที่ดึงศาลเข้ามายุ่งเกี่ยวก็เท่ากับดึง สถาบันประมุขของประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง จึงเป็นการไม่สมควร เพราะทำให้ภาพลักษณ์ของศาลและประมุขของประเทศลดความน่าเชื่อลงทั้งในและต่างประเทศ ได้  การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงให้เป็นไปตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญ จนถึง ขั้นการลงประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้เป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน ซึ่งมีเนื้อหาให้ประชาชนทุกคนอ่านโดยใช้วิจารณญาณ ไตร่ตรองโดยตนเองได้ ว่าขัด มาตรา 68 หรือไม่   ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดโอกาสสร้างพลเมืองของประเทศเป็นพลเมืองโลกที่มาตรฐานสากลให้รู้จักกล้าคิด กล้าเขียน กล้าพูด กล้านำ กล้าตัดสินใจ และกล้าทำสิ่งใหม่ อย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว พื้นฐานการพัฒนาประเทศมาจากการพัฒนาคน ให้มีสิ่งเหล่านี้  เพราะเป็นพื้นฐานการพัฒนาประเทศที่แท้จริง   .
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ 2475 ความหวาดระแวงต่อการล้มล้างสถาบันได้แทรกแซงในทางการเมือง จนเป็นเกมทำลายคนและรัฐบาลหลายรัฐบาลมาแล้วอย่างซ้ำซาก  ปัจจุบันได้ลุกลามไปใช้อำนาจทางศาลที่เกี่ยวข้อง และถ้าไม้ได้รับการแก้ไข อนาคตอาจดึงองคมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ซึ่งก็หมายถึงใกล้จุดที่ พธม.และ ปชป.วางไว้ที่ต้องการให้สถาบันประมุขของประเทศมีพระราชอำนาจในทางการเมืองการปกครองทั้งทางตรงหรือทางอ้อมอย่างแท้จริงที่ตนเองมุ่งหวัง  ซึ่งถ้าประชาธิปไตยอ่อนแอ ประเทศไทยก็เป็นประเทศประชาธิปไตยแบบราชาธิปไตยไทยอย่างแท้จริง หมายถึง ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ธิปไตย นั่นเอง สิ่งที่ตามมาคือ ระบบเจ้าขุน มูลนาย เอารัดเอาเปรียบกันโดยใช้ยศฐาบรรดาศักดิ์ การไขว่คว้าหายศฐาบรรดาศักดิ์แบบสุดขั้ว การแบ่งชั้นวรรณะก็ตามมาอย่างไม่รู้ตัว การตรวจสอบความโปร่งใสของบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรภาครัฐเข้าไม่ถึงเพราะเหล่านั้นอวดอ้างยศฐาบรรดาศักดิ์ ที่สำคัญอย่างร้ายกาจ  ใช้ศักดินาตนเองหรือของคนอื่นขึ้นมาปกป้องตนเองและทำลายคนอื่นเพื่อสร้างความร่ำรวยและความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานให้ตนเอง โดยผิดกับหลักของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในความหมายของสากลประเทศ  คือผู้มีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และโอกาสที่มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปถึงได้ ทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งนี้ โดยใช้การเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพื่อให้คนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และอยู่ในโครงสร้างของประเทศที่สมบูรณ์  ประเทศที่สมบูรณ์ คือประเทศที่ไม่มีกฏหมายปราบปรามประชาธิปไตย หรือกฏหมายปราบปรามประชาชนที่ออกมาเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพทางการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่ทำไปเพื่อตนเอง กลุ่มตนเอง คนของตนเองในฐานะประชาชนคนธรรมดา ที่ปราศจากการเรียกร้องเอาศักดินาอยู่เหนือประชาธิปไตย.
ความหวังของ ปชป. แผน 1ทางตรงคือการกระทำให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีโทษและได้รับโทษ ในทางอ้อมลดความน่าเชื่อถือ พรรคเพื่อไทย/ยุบไปเลย และแตกสลายไป  ถ้าสำเร็จ แผน 2 ก็จะใช้เป็นกลยุทธ์ในการโจมตีทำลายทั้งตัวบุคคล/กลุ่มบุคคล/พรรคเพื่อไทยทางการเมืองต่อไป แผน 3  ปชป.ร่วมกับ ภท.เป็นแกนหลักจัดตั้งรัฐบาล  จะเห็นว่าในปัจจุบันแผนปชป.ยิ่งดิ้นยิ่งลดตนเองตกต่ำ แต้ใช้ประสบการณ์ในอดีต โดยดึงสถาบันประมุขของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมมาพยุงตัวเองเอาไว้ ถ้าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ลูกศรต้องย้อนกลับเข้าหาปชป.เองแน่นอน และอาจเป็นพรรคต่ำสิบก็เป็นได้ .
ความหวัง พธม. ซึ่ง ผู้นำอย่างนายสนธิ เคยประกาศชัดเจน ไม่ยอมรับการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ต้องการรัฐบาลที่มาจากพระราชอำนาจประมุขของประเทศ ซึ่งก็หมายถึงการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ประชาธิปไตย การออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 2กลุ่มหลักนี้ จึงเป็นกล้าคิด กล้าพูดและกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดหลักของการกระทำที่เป็นมาตรฐานของสากลประเทศอย่างชัดเจน ซึ่งก็หมายความว่า ในสนามทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สู้ไม่ได้ จึงต้องใช้สถาบันทั้งทั้งตรงและทางอ้อม ซึงอาจเป็นการทำลายทางอ้อมได้  การรณรงค์รู้รักสามัคคี รักสถาบัน แต่ไม่เคารพประชาธิปไตย จึงเป็นการรณรงค์ที่สูญเปล่า  แม้กระทั่งปัญหาภาคใต้เองก็ไม่มีวันจบสิ้นอย่างแท้จริง เพราะภาพรวมประเทศขาดความตระหนักและเห็นคุณค่าของประชาธิปไตย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น