วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ ( unity of humankind )


โดย สีเลือดเดียว
ผมเป็นนรชนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีอำนาจบารมีทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 
มองว่า ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเจรจาหรือการใช้กองกำลังสร้างความวุ่นวายทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการตกลงเรื่องผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือตกลงในผลประโยชน์ของทั้ง2 ฝ่าย เพราะเป็นหลักการหรือวิธีการที่ละเมิดต่อเจตนารมณ์ในความปรองดองแห่งเป็นมนุษยชาติ อย่างเสร็จสรรพ ซึ่งเป็นสิงที่ละเมิดต่อวินัยและคุณธรรม อย่างพร้อมสรรพ และนำไปสู่การทำลายความปรองดองและความสามัคคี อย่างเสร็จสรรพ ทุกรูปแบบ หากผลประโยชน์หรือเงื่อนไขที่ตกลงไว้ไม่ได้รับการตอบสนองตามความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเท่ากับเป็นการตกลงตามอำนาจบารมีหรือตกลงตามกิเลสตัณหาและกิเลสวัตถุหรือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ เสร็จสรรพ
เจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ ที่เสร็จสรรพ ควรต้องเป็นไป ดังนี้
1. ดำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติ ศาสนาและมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ดำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติที่มีวินัยและคุณธรรมต่อตนเองและมนุษยชาติ
3. ดำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติในหลักสิทธิมนุษยชนหรือมนุษยธรรม
4. ดำรงซึ่งความเป็นชาติที่มีสิทธิเสรีภาพ ความเสอมภาคและภราดรภาพ
5. ดำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติที่มีระบอบประชาธิปไตยแห่งมนุษยชาติ
วิธีการ
1. การวิจารณ์ตามหลักสุจริต3 แห่งศาสนา ถึงชาติ ศาสนาและประมุขของชาติเป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่กระทำได้หากได้รับผลกระทบถึงสิทธิส่วนบุคคลและจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วมตามเจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ และผู้วิจารณ์ก็พร้อมที่จะรับผิดชอบ ตามกระบวนการยุติธรรม
2. ให้ปวงชนเข้าถึงสิทธิเสรีภาพ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ
3. ปวงชนการดำเนินการทางการเมืองเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และการเลือกตั้งต้องเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องดำเนินงานทางการเมืองในระบบรัฐสภา โดยเจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ อย่างไม่ย่อท้อ
4. พรรคการเมือง และนักการเมืองดำเนินการทางการเมืองโดยเจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ แต่เมื่อพรรคการเมือง และนักการเมือง ไม่ดำเนินการตามเจตนารมณ์ความปรองดองแห่งชาติ เท่ากับเป็นผู้ละเมิดต่อเจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ อย่างเสร็จสรรพ
5. ผู้คิดต่างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไม่ใช่ศัตรูทางการเมืองหรือไม่ใช่ศัตรูของประเทศชาติ แต่เป็นผู้ละเมิดต่อเจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ อย่างเสร็จสรรพ
ดังนั้น เจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ จึงไม่ใช่เจตนารมณ์สนองความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ใช่การสนองความต้องการของคนกลุ่มใดกลุ่มหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นสำคัญ แต่เป็นเจตนารมณ์สนองเจตนารมณ์ความปรองดองแห่งมนุษยชาติ หรือเจตนารมณ์สร้างระบอบประชาธิปไตย ที่พร้อมสรรพ ซึ่งเป็นเจตนารมณ์เพื่อปวงชนอย่างเสร็จสรรพ และจะพร้อม
สรรพ เมื่อปวงชนสร้างความสงบหรือความปรองดองในตนเองให้มากที่สุด หากดินจะแตกแห้งบ้าง ดินภูเขาจะถล่มบ้าง จะมีพายุบ้าง ท้องฟ้าจะมีเมฆบ้าง น้ำจะท่วมบ้าง ทะเลมีคลื่นบ้าง และจะมีไฟบ้าง ก็จะไม่ใช่ภัยพิบัติใด ๆ อย่างเสร็จสรรพ นอกจากเป็นภัยธรรมชาตินรชนแห่งสัตบุรุษ ที่จะกำจัดภัยแห่งมนุษยชาติให้เสร็จสรรพ คือ กิเลสตัณหาและกิเลสวัตถุ ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม อย่างพร้อมสรรพ 
ดั่งคำกล่าวที่ว่า “เขาว่าพระโคตมพระพุทธเจ้าเป็นผู้ช่างกำจัด ฯ “
ซึ่งแก่นแท้แห่งความหมายนี้ คือ การกำจัดกิเลสตัณหาและกิเลสวัตถุให้หมดไปจากนรชน อย่างเสร็จสรรพ เท่ากับเป็นความปรองดองแห่งสรรพสิ่ง อย่างเสร็จสรรพ จากความปรองดองแห่งมนุษยชาติ ที่พร้อมสรรพ
นะโมพุทธายะ มะอะอุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น