โดย..ธรรมชน อหิงสา
เจตนารมณ์มาตรา 68แห่งรัฐธรรมนูญ 2550 คือ
ไม่ให้มีการใช้สิทธิเสรีภาพ ที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ
เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ภายใต้รัฐธรรมนูญ แบบมีรัฐสภา ไปเป็นการปกครองระบอบอื่น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ถึงแม้แก้บางมาตราหรือทั้งฉบับ
แต่ถ้าการแก้ไขยืนหยัดในการเมืองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ แบบมีรัฐสภา
ไม่ได้มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองที่มีมาตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน
2475 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่จะสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประเทศชาติ
ด้วยการเมืองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ แบบมีรัฐสภา
และในประเด็นที่ฝ่ายค้านจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของสมาชิกวุฒิสภา
ขัดรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 68 นั้น
เปรียบเหมือนพายเรือบนบก ซึ่งการพายเรือบนบกจะเป็นไปได้ยาก
แต่ถ้าใช้ระบอบเผด็จการทั้งทางตรงและทางอ้อม การพายเรือบนบกก็เคลื่อนไปได้
เช่นใช้การฉุดกระชากลากจูง เป็นต้น ซึ่งวิธีนี้เอง คือ
วิธีการที่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์มาตรา68 แห่งรัฐธรรมนูญ อย่างชัดเจน
ที่จริงฝ่ายค้านยื่นตีความ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา
ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะ ฝ่ายค้านคงยอมรับทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้ง
และต้องแพ้ในสภาไปด้วยอย่างพร้อมสรรพ ซึ่งฝ่ายค้านได้เรียบเรียงใช้เป็นภาษาเรียกแบบปลุกระดมมวลชนว่า
" เผด็จการทางรัฐสภา " ซึ่งรูปธรรมของเผด็จการทางรัฐสภา
ไม่ได้อยู่ที่ว่าฝ่ายใดที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยสามารถคุมเสียงในสภาได้มากว่า
เพราะถ้าเปรียบเทียบได้ ก็เปรียบดั่งศาสดาของแต่ละเชื่อชาติ ศาสนา
ที่ใช้สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ
ในการใช้หลักการทางคุณธรรมเพื่อชี้นำให้มนุษย์ในสังคม ในประเทศและในโลกได้เห็น
ได้รับรู้ และเลือกที่จะใช้หลักคุณธรรมของศาสนา นั้นๆโดยใช้สิทธิเสรีภาพ
ความเสมอภาคและภราดรภาพ และเมื่อมีจำนวนมนุษย์มากที่สุดในสังคมใด ในประเทศใดและโลก
ยอมรับในสัญชาติใด เชื้อชาติ ศาสนาใดหรือความคิดเห็นทางการเมืองแบบใดแล้ว
จะเรียกว่าเป็นเผด็จการทางสังคม
เผด็จการในประเทศหรือเผด็จการทางโลก...อย่างนั้นหรือ ที่สำคัญ...คำว่า”ระบอบเผด็จการ”
..ต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับ คำว่า "การปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ แบบมีรัฐสภา “
ดังนั้น การที่รัฐบาล โดยฝ่ายนิติบัญญัติ ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550
ถือเป็นการยืนหยัดตามเจตนารมณ์ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ภายใต้รัฐธรรมนูญ แบบมีรัฐสภา แต่ที่ฝ่ายค้านยืนหยัดสกัดกั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม
เป็นการยืนหยัดที่แสดงออกถึงการยอมรับในความพ่ายแพ้ทั้งในสภาและนอกสภา
การยืนหยัดสกัดกั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือแม้กระทั่งการยืนหยัดสกัดกั้นการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม
การออกพ.ร.บ.ความปรองดองแห่งชาติและการออกพ.ร.บ.กู้เงินสองล้านล้านบาท
จึงเป็นการยืนหยัดที่ไม่มีเหตุผลใดๆนอกจากใช้คำว่า “ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา68”
ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ ปัจจุบัน เหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุผลล้าหลัง เป็นเหตุผลที่ย้อนยุค และไปขัดแย้งกับมาตรา68
แห่งรัฐธรรมนูญ อย่างพร้อมสรรพ หรือขัดแย้งกับการเมืองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ แบบมีรัฐสภาทั้งทางตรงและทางอ้อม
อย่างชัดเจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น