วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

ประชาธิปไตย สู่พระนิพพาน เผด็จการสู่ความพินาศ (democracy , to the release from human affairs , dictate to the disaster )







ในทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย สถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันประมุขของประเทศ ไม่ใช่สถาบันที่ใครจะนำไปกล่าวอ้าง เพื่อครอบงำการเมืองระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม เพราะ3 สถาบัน เปรียบดั่งต้นชี้ตาย(สถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันประมุขของประเทศ ) ปลายชี้เป็น (สถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันประมุขของประเทศ )โดยเฉพาะในประเทศ ที่ระบอบประชาธิปไตยไม่พัฒนา.
การรักษา ชาติ ศาสนา สถาบันประมุขของประเทศ และที่สำคัญ คือชีวิตประชาชน คือการแยกการเมืองออกจากสถาบัน ทั้ง3 เพื่อให้การเมืองเป็นการเมืองระบอบ ประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ ที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ เป็นสำคัญ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะเป็นการเมืองระบอบเผด็จการโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งยึดและนำเอา3สถาบันครอบงำทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย จนกระทั่งนำไปสู่วิธีการแบบอธรรมดั่งเหตุการณ์ ร.8สวรรคต,14ตูลาคม2516,6ตุลาคม2519,การทำรัฐประหารทุกครั้งและการสลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ช่วงระหว่างวันที่ 13 - 19 พฤาภาคม 2553 รวมทั้งเหตุการณ์การพิจารณาคดีทางการเมือง ซึ่งทุกครั้ง บุคคล,กลุ่มบุคคลหรือพรรคการเมือง ที่หยิบยกเหตุผลการเมืองระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแสดงความคิดเห็น โดยตรงและอ้อม มักจะถูกกล่าวหาว่า เข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา112 และล้มสถาบันชาติ ศาสนา และคำกล่าวหาที่อัปยศที่สุดคือการกล่าวหาล้มสถาบันประมุขของประเทศ แต่กับบุคคล, กลุ่มบุคคล และพรรคการเมือง ที่เพียงเอยถึง 3 สถาบัน สั้นๆ โดยไม่ต้องยกเหตุผลอะไรชี้แจงมากมาย บุคคล ,กลุ่มบุคคลหรือพรรคการเมืองนั้นก็ได้รับการยืดหยุ่นหรือรอดพ้นอย่างชอบธรรม โดยกลุ่มอนุรักษ์นิยม จัดให้
ดังนั้น การรักษาชาติ ศาสนา สถาบันประมุขของประเทศและประชาชน คือการรักษาประชาธิปไตย โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ เป็นสำคัญกว่าสิ่งใดๆ เพราะประชาธิปไตย คือความลำบาก ความอดทน ความอดกลั้น ความขยัน การทนต่ออุปสรรคและปัญหาทั้งปวง จึงเปรียบดั่งหนทางสู่พระนิพพานทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย และการขาดในสิ่งเหล่านี้ คือการเมืองระบอบเผด็จการสู่ความพินาศ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น